โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

เปิดเหตุผลทำไมคนอเมริกัน 'ไม่ซื้อทอง' สวนกระแสคนเอเชียแห่ตุน

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 10 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ครั้งหนึ่งชาวอเมริกันก็เป็นเหมือนนักลงทุนรายย่อยประเทศอื่นๆ ที่นิยมการซื้อเก็บ "ทองคำแท่ง" และ"เหรียญทองคำ" แต่ปัจจุบันช่วง 3 - 4 ปีหลังมานี้ ชาวอเมริกันกลับมุ่ง "เทขาย" สินทรัพย์เหล่านี้ สวนทางกับชาวเอเชียที่ยังคงเข้าซื้อทองคำแท่งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนว่า นักลงทุนจากทั้งสองซีกโลกมีมุมมองต่อเศรษฐกิจโลกที่แตกต่างกัน

ความแตกต่างนี้บ่งชี้ว่า ชาวอเมริกันที่เก็บสะสมทองคำแท่งและเหรียญทองคำไว้ที่บ้านหรือในตู้เซฟ ซึ่งคล้ายกับนักเทรดรายวันในตลาดหุ้น "ไม่ได้รู้สึกกังวลนัก" เกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากรของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แม้แต่หนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น และความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ และพวกเขาก็พร้อมที่จะขายทำกำไรหลังจากที่ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นอย่างน่าทึ่งตลอดช่วงสองปีที่ผ่านมา

บลูมเบิร์กระบุว่า นักลงทุนรายย่อยอเมริกันเหล่านี้กำลังต้านแนวโน้มของตลาดโดยรวม ซึ่งนักลงทุนสถาบันยังคงเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยแบบเชิงรุก เช่นเดียวกับกองทุนของรัฐและธนาคารกลาง ในขณะเดียวกัน ผู้ซื้อทองคำในเอเชียก็ลดการซื้อทองรูปพรรณและหันมาซื้อทองคำแท่งและเหรียญแทน

"ในอเมริกา คนที่เป็นนักลงทุนรายย่อยจำนวนมากมีแนวโน้มจะเอียงไปทาง พรรครีพับลิกัน และไม่ว่าเราจะพูดอะไรเกี่ยวกับนโยบายภาษีศุลกากร พวกเขาก็มักจะชอบในสิ่งที่ทรัมป์ทำ” ฟิลิป นิวแมน กรรมการผู้จัดการของบริษัทที่ปรึกษาการวิจัย Metals Focus Ltd กล่าว"ดังนั้นจากมุมมองของพวกเขาแล้ว จึงมีเหตุผลน้อยกว่าที่จะซื้อทองคำ"

ตลาดทองสหรัฐ เต็มไปด้วยทองคำแท่งและเหรียญล้นตลาด จนผู้ค้าทองบางรายต้องลดค่าพรีเมียมลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี เพื่อหวังกระตุ้นยอดขาย และเมื่อนักลงทุนต้องการขาย พวกเขากลับเป็นฝ่ายที่ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมให้ผู้ค้าเพื่อให้ระบายทองคำออกไป

ปัจจุบัน ผู้ค้าทองคำแท่ง อย่าง Money Metals Exchange LLC เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจาก "ผู้ซื้อ" เหรียญทองคำ American Eagle น้ำหนักหนึ่งออนซ์ ในราคาเพียง 20 ดอลลาร์เหนือ ราคาสปอต ซึ่งถูกลงมากเมื่อเทียบกับที่เคยเก็บ 175 ดอลลาร์เมื่อ 4 ปีที่แล้ว

แต่ในทางกลับกัน "ผู้ขาย" ต้องจ่ายเงินประมาณ 20 ดอลลาร์เพื่อให้ตลาดออนไลน์รับซื้อทองคำไป ทั้งที่เมื่อ 4 ปีก่อน พวกเขาจะได้เงินเพิ่มสูงถึง 121 ดอลลาร์สำหรับการขายทอง

ความอิ่มตัวของตลาดทองรายย่อยในสหรัฐยังทำให้ยอดขายเหรียญทองคำใหม่ทรุดตัวลง โดย เหรียญทอง American Eagle ของโรงกษาปณ์สหรัฐ ซึ่งมักถูกใช้เป็นดัชนีชี้วัดความต้องการของผู้บริโภครายย่อย ร่วงลงกว่า 70% ในเดือนพ.ค. เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ในตลาดอเมริกาเหนือและยุโรปตะวันตกนั้น ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำลดลงตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา สวนทางกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยปี 2024 ที่ผ่านมาถือเป็นปีที่มีข้อมูลแตกต่างกันมากที่สุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติย้อนหลังไปถึงปี 2014 ตามข้อมูลของ Metals Focus ช่องว่างดังกล่าวยังคงดำเนินต่อไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2025 โดยส่วนใหญ่เกิดจากการเทขายในตลาดสหรัฐ

เอเชียโตแรงสวนทาง อาเซียนมีตัวเลือกน้อย

ในฝั่งเอเชียแปซิฟิก ความต้องการทองคำแท่งและเหรียญทองคำกลับเพิ่มขึ้น 3% ในไตรมาสแรก โดยเฉพาะตลาด "จีน" มีการเติบโต 12% เมื่อเทียบเป็นรายปี ตามข้อมูลล่าสุดของ สภาทองคำโลก (WGC) ในขณะที่ "เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย" มีการเติบโตสูงถึงกว่า 30%

เคนนี่ หู นักกลยุทธ์สินค้าโภคภัณฑ์จาก Citigroup Inc. กล่าวว่า ความกังวลเบื้องต้นว่าจีนและเอเชียจะได้รับผลกระทบหนักที่สุดจากมาตรการภาษีของทรัมป์ ส่งผลให้ความต้องการทองคำในภูมิภาค "แข็งแกร่งมาก" นอกจากนี้ ความกังวลเกี่ยวกับสกุลเงินท้องถิ่นที่อ่อนค่าลงยังหมายความว่า ทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่นักลงทุนในเอเชียเลือกใช้ โดยมีบทบาทสำคัญในการพุ่งขึ้นของราคาทองมาตั้งแต่ปี 2024

ไบรอัน หลัน กรรมการผู้จัดการของ GoldSilver Central ในสิงคโปร์ กล่าวว่า "นักลงทุนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขาดทางเลือกการลงทุนอื่นๆ เริ่มมองว่าทองคำเป็นสินทรัพย์เชิงกลยุทธ์ไปแล้ว"

“ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับสงครามเข้าใจดีว่า ทองคำถือเป็นเครื่องมือรับประกันในห้วงเวลาแห่งความไม่แน่นอน” หลันกล่าว

แต่ในสหรัฐ การเทขายทำกำไรถือเป็นส่วนหนึ่งของสมการเมื่อพิจารณาจากราคาทองคำที่พุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ โดยราคาพุ่งขึ้นถึง 59% นับตั้งแต่ต้นปี 2024 สู่ระดับ 3,274.33 ดอลลาร์ต่อออนซ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (27 มิ.ย.)

ปัจจุบันธนาคารต่างๆ ในวอลล์สตรีทยังคงมีความเห็นที่แตกต่างกันว่า "ราคาทองที่พุ่งขึ้นครั้งนี้สิ้นสุดรอบลงแล้วหรือไม่" โดย Goldman Sachs Group Inc. ยืนยันการคาดการณ์ราคาทองคำที่ 4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ภายในปีหน้า ส่วน Morgan Stanley คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 3,800 ดอลลาร์ภายในสิ้นปีนี้ ในทางกลับกัน Citigroup Inc. มองสวนว่าราคาทองคำอาจลดลงต่ำกว่า 3,000 ดอลลาร์ในปีหน้า

"เมื่อเกิดความกลัว พวกเขาก็จะเลือกถือทองคำมากขึ้นและลดสินทรัพย์เสี่ยงลง" นักกลยุทธ์ซิตี้กรุ๊ปกล่าว "และตอนนี้พวกเขาอาจคิดว่าทุกอย่างกำลังโอเคอยู่ ภาษีศุลกากรไม่ได้แย่ขนาดนั้น สุดท้ายก็น่าจะเจรจากันได้ การเมืองระหว่างประเทศจะคลี่คลายลงในที่สุด และการเติบโตของสหรัฐก็อาจไม่เลวร้ายอย่างที่กังวลกัน"

ที่มา: Bloomberg

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

โตโยต้า เล็งเพิ่มส่งออก รถตู้ Toyota Commuter ตลาดเอเชีย

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'โฆษก ภท.' แนะ 'รัฐบาล' ยกปัญหาเขตแดน เข้าสภา กันเกิดปัญหาอื่น

2 ชั่วโมงที่ผ่านมา

‘พร้อมพงศ์’ ฉะกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน เสี้ยมรัฐบาลชนกองทัพ

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

'ผู้นำฝ่ายค้าน' มองโพล 'คนไทย' ต้องการเปลี่ยนตัวผู้นำ

3 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความต่างประเทศอื่น ๆ

รู้งี้ทำนานแล้ว! หมอชี้ช่อง "หนีเบาหวาน" แค่ดื่มสิ่งนี้ตอน 21.00 น. ก็ลดน้ำตาลในเลือดได้

sanook.com

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองรัสเซีย ยกหูคุยกับผู้อำนวยการซีไอเอ

เดลินิวส์
วิดีโอ

สรุปข่าวต่างประเทศ วันที่ 29 มิ.ย. 2568

THE ROOM 44 CHANNEL

อิสราเอลจ่อถล่มกาซาอีก! แม้ "ทรัมป์" ขอให้จบสงคราม

PPTV HD 36

แฉมุมมืดโรงแรม พนง.เตือนตรงกัน อย่าใช้ "ผ้าขนหนู" ฟังแล้วขนลุก มันถูกใช้เช็ดอะไรมาก่อน!

sanook.com

ดูอะไรกัน? สาวญี่ปุ่นกินโซบะคำโต คลิป 30 วินาที แค่ 4 วัน ยอดวิวพุ่ง 44 ล้าน

sanook.com

โรงเรียนสงฆ์ในเมียนมาจัด “การศึกษาฟรี” ให้มากกว่า 338,000 คนในปี 2568

เดลินิวส์

นี่คือเหตุผลที่'หลินจือ'จึงเป็นสวรรค์บนดินแห่ง'เขตปกครองตนเองซีจั้ง'

The Better

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...