ชัวร์ก่อนแชร์ FACTSHEET : ป้องกันตาบอดจากฉีดฟิลเลอร์
สำนักข่าวไทย Online
อัพเดต 18 กรกฎาคม 2568 เวลา 17.34 น. • เผยแพร่ 4 ชั่วโมงที่ผ่านมา • สำนักข่าวไทย อสมทบทความนี้เรียบเรียงโดยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์(Artificial Intelligence : AI)โดยมีเนื้อหาหลักจากคลิปวิดีโอ
5 มิถุนายน 2568
การฉีดฟิลเลอร์ที่ใบหน้าจะส่งผลให้ตาบอดได้อย่างไร และจะสังเกตอาการทางดวงตา รวมทั้งรักษาได้อย่างไร ?
ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ ตรวจสอบกับ รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย
(สัมภาษณ์เมื่อ 27 พฤษภาคม 2568)
ภัยจากการฉีดฟิลเลอร์ที่ต้องเรารู้
การฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มริ้วรอยและปรับรูปหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ เป็นหนึ่งในหัตถการเสริมความงามที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในปัจจุบัน แต่ภายใต้ความสวยที่ได้มาอย่างรวดเร็วนี้ แฝงไปด้วยความเสี่ยงร้ายแรงที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง นั่นคือภาวะ “ตาบอด” จากการที่สารฟิลเลอร์หลุดเข้าไปอุดตันในหลอดเลือดที่หล่อเลี้ยงดวงตา ซึ่งเป็นภัยเงียบที่เกิดขึ้นได้และต้องทำความเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนตัดสินใจ
ฟิลเลอร์ทำให้ตาบอดได้อย่างไร?
รศ.นพ.ศักดิ์ชัย วงศกิตติรักษ์ ประธานวิชาการ ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย อธิบายว่า สารฟิลเลอร์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายคือ “ไฮยาลูโรนิกแอซิด” (Hyaluronic Acid : HA) ซึ่งมีขนาดโมเลกุลค่อนข้างใหญ่ เมื่อถูกฉีดเข้าไปในบริเวณที่มีหลอดเลือดเชื่อมโยงกับดวงตาจำนวนมาก เช่น หว่างคิ้ว, ร่องแก้ม และรอบดวงตา ก็มีความเสี่ยงที่สารฟิลเลอร์จะหลุดรอดเข้าไปในหลอดเลือด
หากฟิลเลอร์เข้าไปอุดตันในหลอดเลือดแดงหลักที่ไปเลี้ยงจอประสาทตา จะทำให้การมองเห็นของตาข้างนั้นดับวูบลงทั้งหมด แต่หากเข้าไปในหลอดเลือดฝอยแขนงเล็ก ๆ ก็อาจทำให้การมองเห็นมืดไปเพียงบางส่วน
อาการเกิดฉับพลัน… แข่งกับเวลา
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ ภาวะแทรกซ้อนนี้มักเกิดขึ้นอย่าง “ฉับพลัน” ภายในไม่กี่นาทีหลังการฉีด ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตาข้างนั้นเริ่มมองเห็นแสงสว่างลดลงอย่างรวดเร็ว และภาพจะค่อย ๆ มืดลงจนสนิท
ดังนั้น การปฐมพยาบาลและการรักษาจึงเป็นการแข่งขันกับเวลาอย่างแท้จริง โดยมีช่วงเวลาทอง (Golden Period) ในการแก้ไขเพียง 6 ชั่วโมงแรก เท่านั้น หากเกินกว่านี้ โอกาสที่จะกลับมามองเห็นนั้นแทบจะเป็นศูนย์ และอาจนำไปสู่การสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวร
จะป้องกันได้อย่างไร ?
แม้จะมีความเสี่ยง แต่เราสามารถลดโอกาสเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันนี้ได้โดย
- เลือกสถานพยาบาลและผู้เชี่ยวชาญ : ต้องเลือกคลินิกหรือโรงพยาบาลที่ได้มาตรฐาน และฉีดกับแพทย์ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านกายวิภาคบนใบหน้าเท่านั้น การฉีดกับบุคลากรที่ไม่ใช่แพทย์หรือหมอกระเป๋าคือความเสี่ยงสูงสุด
- หลีกเลี่ยงพื้นที่เสี่ยงสูง : ควรหลีกเลี่ยงการฉีดฟิลเลอร์ในบริเวณที่อันตรายและมีหลอดเลือดเชื่อมกับลูกตาโดยตรง เช่น รอบเปลือกตาและหว่างคิ้ว
- สังเกตอาการหลังฉีด : หลังฉีดเสร็จ ควรรอสังเกตอาการที่สถานพยาบาลอย่างน้อย 30 นาที – 1 ชั่วโมง และหลังจากนั้นควรหมั่นสังเกตอาการด้วยตนเอง โดยลองปิดตาทีละข้างเพื่อเปรียบเทียบการมองเห็น หากพบว่าการมองเห็นลดลงหรือผิดปกติแม้เพียงเล็กน้อย ควรรีบกลับไปพบแพทย์หรือตรงไปที่โรงพยาบาลที่มีจักษุแพทย์โดยทันที
ความสวยงามเป็นสิ่งที่สร้างความมั่นใจได้ แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัย การศึกษาข้อมูลให้รอบด้านและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ตัวเอง คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดจากภัยเงียบที่อาจพรากแสงสว่างไปจากชีวิตเราได้ค่ะ
ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดย : พีรพล อนุตรโสตถิ์
ตรวจสอบบทความโดย : ชยานิษฐ์ ผ่องใส