โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

สุขภาพ

สัญญาณ 'Hurry Sickness' โรคทนรอไม่ได้ ทำงานอย่างไร?ไม่ให้ 'หัวร้อน'

กรุงเทพธุรกิจ

อัพเดต 23 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 16 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การทำงานที่ประกอบไปด้วยความเร่งรีบ การแข่งขันกับเวลา ภาระงานที่มากมาย การทำงานกับผู้คนมากมาย และทำกิจกรรมหลายๆ อย่างพร้อมกัน หากไม่สามารถทำงานได้ตามที่ตนเอง หรือหัวหน้างานกำหนดได้ อาจทำให้หลายๆ คนเกิดอารมณ์หงุดหงิด ฉุนเฉียว หัวร้อนได้ง่าย ซึ่งอาการแหล่านี้มักจะพบได้บ่อยในมนุษย์เงินเดือน และคนรุ่นใหม่

คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่? ที่มักจะโมโหง่ายๆ กับเรื่องเล็กน้อย หงุดหงิดเมื่อรู้สึกว่างานมีโอกาสล่าช้าจากเวลาที่กำหนดไว้ หรือ หากอินเตอร์เน็ตเกิดการโหลดล่าช้า เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วยังไม่ติดสักที หรือต้องเช็คการอัพเดททางสื่อโซเชียลตลอดเวลา

พฤติกรรมเร่งรีบอารมณ์ร้อนรนเช่นนี้ เรียกว่า “ภาวะทนรอไม่ได้” หรือ “Hurry Sickness” ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่ายกับคนวัยทำงาน โดยเฉพาะหนุ่มสาวออฟฟิคที่ต้องอยู่หน้าจอตลอดเวลา หรือคนรุ่นใหม่ที่เสพติดการใช้อินเทอร์เน็ตที่อำนวยความสะดวกให้ทุกอย่างในชีวิตรวดเร็วทันใจและเปิดอุปกรณ์สื่อสารไว้ตลอดเวลา

ภาวะทนรอไม่ได้ (Hurry Sickness) คือ พฤติกรรมที่มีอาการใจร้อน หงุดหงิด และฉุนเฉียวง่าย กับการรออะไรบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งเป็นผลกระทบจากการทำงานกับคอมพิวเตอร์ หรือมักจะเกิดขึ้นสำหรับผู้ที่เสพติดการใช้โซเชียลมีเดีย มีความไม่พอใจ ความเครียดและความกังวลเกินกว่าเหตุ ดังนั้น ควรสังเกตตนเอง หรือบุคคลรอบข้างว่ามีพฤติกรรมเปลี่ยนไป ควรหาทางแก้ไขเพราะโรคทนรอไม่ได้นี้ จะทำให้ร่างกาย และจิตใจเข้าสู่ภาวะผิดปกติ

ข่าวที่เกี่ยวข้อง:

เยี่ยมโรงงานผลิตยา 'อิมครานิบ 100' 3 โรคมะเร็งแพทย์สั่งเบิกได้ทุกสิทธิ

ทำไม? ผู้หญิงไม่สูบบุหรี่ เสี่ยง‘มะเร็งปอด’ ตรวจคัดกรองก่อนสาย

พนักงานระดับผู้จัดการร้อยละ 95 มีภาวะทนรอไม่ได้

นพ.เมเยอร์ ฟรีดแมน และนพ.เรย์ โรเซนแมน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคหัวใจเป็นผู้บัญญัติศัพท์เพื่อเรียกกลุ่มอาการเช่นนี้ว่า “ภาวะทนรอไม่ได้” หลังจากสังเกตเห็นว่า ผู้ป่วยจำนวนมากในการศึกษามีพฤติกรรมรีบร้อนทำงานหรือกิจกรรมหลายอย่างให้เสร็จภายในเวลาที่จำกัดตลอดเวลา

ศ.ริชาร์ด จอลลี่ (Richard Jolly) แห่งลอนดอน บิสซิเนส สคูล พบว่าพนักงานระดับผู้จัดการถึงร้อยละ 95 ต้องทนทุกข์ทรมานจากภาวะทนรอไม่ได้

นอกจากนั้น อาการของภาวะนี้ยังทับซ้อนกับอาการของความ “กลัวพลาดอะไรบางอย่าง” หรือ Fear of Missing Out (FOMO) ที่พบมากในยุคปัจจุบัน พฤติกรรมเหล่านี้สามารถสะสมจนกลายเป็นความเคยชินและกัดกร่อนสุขภาพจิตมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่รู้ตัวและอาจส่งผลรุนแรงกว่าที่คิด อาทิ ทำให้ประสิทธิภาพในการพินิจวิเคราะห์ปัญหาลดลง โดยเฉพาะปัญหาในภาพรวมใหญ่ของงาน

ขณะเดียวกันอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในงานเพิ่มขึ้น หรืออาจส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ส่วนตัวจากการที่เราแบกงานไปทุกที่หรืออารมณ์เสียง่ายเพราะมีเรื่องรบกวนจิตใจมากเกินไป แม้อาการจะไม่ค่อยน่าวิตกแต่หากปล่อยให้ความกังวลเกิดขึ้นทุกครั้งที่มีเรื่องไม่ทันใจหรือสะสมความเครียดมาเรื่อย ๆ เป็นเวลานานก็สามารถส่งผลกระทบต่อสุขภาพได้ไม่น้อย เช่นหายใจไม่ทัน คลื่นไส้อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ภูมิต้านทานต่ำลง อาจมีปัญหาความดันโลหิตสูงและมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจตามมา เนื่องจากความเครียดจะกระตุ้นร่างกายให้หลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลที่อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพในระยะยาว เช่นภาวะซึมเศร้า ภาวะหมดไฟ ต่อมหมวกไตล้า บางรายอาจถึงแก่ชีวิตได้

10 สัญญาณบ่งบอกเสี่ยงโรคทนรอไม่ได้

จากหนังสือเรื่องTen Symptoms of Hurry Sickness ของ John Mark Comer ระบุ 10 อาการเริ่มต้นของโรคทนรอไม่ได้ เอาไว้ดังนี้

1. ขี้รำคาญผิดปกติ

ขี้รำคาญ ขี้บ่นได้ทุกเรื่องทุกวี่ทุกวัน เห็นอะไรก็ขัดหูขัดตาไปหมด หาเรื่องบ่นเพื่อนร่วมงาน คนในครอบครัว เพื่อน และคนรักที่อยู่ข้างตัวได้ตลอดเวลา

2.เซนซิทีฟมากเกินไปกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ

แค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้คุณหงุดหงิดได้อย่างชัดเจน คนขับรถปาดหน้า ขับไม่ทันไฟเขียว คุยแชทแล้วอีกฝ่ายตอบช้า นั่งรอลูกค้าแค่กี่นาทีก็รู้สึกไม่อยากรอแล้ว กดลิฟต์แล้วรอนานก็กดย้ำๆ ร้านอาหารบอกให้รอสักครู่แต่รู้สึกไม่อยากรอแล้วเปลี่ยนร้านทันที ฯลฯ

3.กระสับกระสาย อยู่ไม่เป็นสุข

แม้ว่าจะพยายามใจเย็น ทำอะไรช้าลง แต่ก็ไม่สามารถทำให้คุณอยู่เฉยๆ นิ่งๆ ได้ ดูคลิปยาวๆ ไม่เคยจบขี้เกียจอ่านบทความยาวๆ เพราะรู้สึกว่าน่าเบื่อ ทำอะไรค้างๆ คาๆ หรือแม้กระทั่งพยายามจะเข้านอนเร็ว แต่สุดท้ายก็คิดเต็มไปหมดจนนอนไม่หลับ

4.ทำงานหนัก หรือต้องหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา

พยายามหาอะไรทำให้ตัวเองยุ่งๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าเวลาไหนควรจะหยุดพัก ทำนู่นเสร็จทำนี่ต่อ จนสุดท้ายรู้ตัวอีกทีก็ล้มหมอนนอนเสื่อป่วยไข้จากการพักผ่อนไม่เพียงพอ และเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจมากเกินไป

5.ไร้ความรู้สึกไปเสียเฉยๆ

จู่ๆ อ่านข่าวหรือฟังเรื่องราวอันน่าสะเทือนใจที่คนรอบตัวร้องไห้สุดน้ำมูก ฟิดฟาดกันไปหมดแล้ว แต่คุณกลับไม่รู้สงสารหรืออินกับเรื่องอะไรใดๆ รู้สึกว่าตัวเองมีเรื่องอะไรให้คิด มีสิ่งที่ต้องทำมากเกินกว่าจะมาเสียเวลากับทำความเข้าใจความรู้สึกของคนอื่น

6. จัดลำดับความสำคัญในชีวิตไม่ได้

คุณไม่สามารถจัดการเรียงลำดับความสำคัญของงานว่าสิ่งใดควรทำก่อน สิ่งใดควรทำที่หลัง ทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานไม่ได้ดีอย่างที่ควรจะเป็น เพราะอาจมัวไปเสียเวลาอยู่แต่กับเรื่องไม่เป็นเรื่อง

7. หมดความสนใจที่จะดูแลร่างกายตัวเอง

ไม่มีเวลาให้กับการนอนหลับให้เพียงพอ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่มีเวลาออกกำลังกาย เลือกรับประทานอาหารดีๆ ในปีหนึ่งๆ คุณน้ำหนักเพิ่มขึ้น และ ป่วยบ่อยๆ ตื่นเช้ามาก็เหนื่อยแล้ว เข้านอนก็นอนไม่ค่อยหลับ และอาจมีพฤติกรรมในการบริโภคเครื่องดื่มคาเฟอีน เครื่องดื่มน้ำตาลสูง อาการประเภทคาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี เช่น ข้าวขาว ขนมปังขาว รวมถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปด้วย

8. หนีปัญหาด้วยการอะไรมากเกินตัว

เมื่อไรก็ตามที่ไม่มีความรู้สึกทีอยากจะปล่อยวางจิตใจให้อยู่นิงๆ สงบๆ คุณอาจหาอะไรทำที่ช่วยดึงความสนใจของคุณออกไปจากความงุ่นง่านวุ่นวายในใจ เช่น สั่งอาหารมากินมากมาย ดื่มแอลกอซอล์มากเกินไป นอนดูซีรีส์ติดต่อกันหลายๆ คืน ไถ social media ดูอะไรเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยๆ ไม่หยุดเป็นต้น

9.ขาดอารมณ์สุนทรีย์และกิจกรรมทางศาสนา

คุณจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่เข้าวัดทำบุญ หรือไปโบสถ์ ทำพิธีกรรมทางศาสนาคือเมื่อไร เคยได้ตื่นนอนมาสุดอากาศดีๆ พร้อมเสียงนกเจื้อยแจ้วในตอนเข้าบ้างไหม เดินเล่นในสวนสาธารณะ ปันจักรยานสุดอากาศเย็นๆ นั่งริมน้ำมองดูปลาว่ายไปมา หรือนั่งฟังเพลงที่ชอบนิ่งๆ ตั้งแต่เพลงแรกยันเพลงสุดท้ายของอัลบั้ม เป็นต้น

10.แยกตัวเองออกมาอยู่คนเดียว


คุณไม่รู้สึกถึงการมีความสัมพันธ์กับคนรอบตัวหลงเหลืออยู่อีกแล้ว คุณคิดว่าคุณอยู่คนเดียวก็ได้สบายใจดี ไม่เหงาไม่ต้องคุยอะไรกับใครก็ได้ แม้ว่าจะอยู่ในกลุ่มเพื่อน คุณก็เปิดมือถือขึ้นมาดูโน่นนี่โดยไม่อยากร่วมวงสนทนาด้วย อยู่กลางวงเครือญาติก็นั่งเงียบไม่มีปฏิกิริยา หรือไม่พังบทสนทนาของคนในครอบครัว


หากเป็นโรคทนรอไม่ได้ควรทำอย่างไร?

1.ตื่นนอนให้เร็วกว่าเดิมอีกสักนิด แล้วกินอาหารเข้าด้วย

วิถีชีวิตอันรีบเร่งที่ทำให้คุณรีบตื่น รีบอาบน้ำแต่งตัว รีบออกไปเรียนไปทำงานอยู่ทุกวัน ทำให้คุณรีบทำทุกอย่างจนติดเป็นนิสัยได้ ลองตื่นมาทำอะไรด้วยความเร็วปกติที่ไม่ต้องรีบจนไฟลนกัน เลือกอาหารเช้าอร่อยๆ ที่กินแล้วช่วยเพิ่มพลังในตอนเช้าได้ คุณภาพชีวิตของคุณก็จะดีขึ้น

2.ถึงก่อนเวลานัดอย่างน้อย 5 นาทีเสมอ

การที่ต้องลุ้นทุกวันว่าวันนี้จะไปเรียน ไปทำงาน หรือไปตามที่นัดทันเวลาหรือไม่เป็นประจำ ไม่ได้ส่งผลดีต่อตัวคุณอย่างแน่นอน แค่ถึงก่อนเวลา 5นาทีก็มีเวลาให้คุณได้เตรียมตัว พักหายใจหายคอ และผ่อนคลายกับ กิจกรรมที่จะทำต่อไปได้อย่างมาก

3.นับ 1-5 ก่อนหยิบโทรศัพท์


หากไม่ใช่สายเรียกเข้า แต่เป็นเสียงข้อความเข้า อีเมล หรือเสียงการแจ้งเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ไม่จำเป็นต้องรีบคว้ามาเช็กเร็วปานสายฟ้าแล่บขนาดนั้น นับ 1-5 ในใจแล้วค่อยหยิบโทรศัพท์มาเช็กก็ได้ ให้สมองของตัวเองได้ประมวลผลคิดเสียก่อนว่าเป็นเสียงอะไร และเรื่องอะไรที่กำลังจะได้อ่าน และควรหาเวลาพักสายตาของตัวเองจากอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์บ้างเป็นบางครั้งบางคราว

4.ควรพิจารณาขีดความสามารถของตนเองในการทำงานให้สำเร็จ

อย่าด่วนตอบรับงานที่มีกำหนดส่งกระชั้นชิด รู้จักปฏิเสธคำขอให้ช่วยอย่างสุภาพโดยเฉพาะงานที่อยู่นอกเหนือหน้าที่ ขณะเดียวกันอาจช่วยหาคนอื่นมีคุณสมบัติเหมาะสมกว่าที่จะทำงานนั้น ๆ หรืองานที่เราไม่มีเวลาทำ

5.อย่าทำงานหลายอย่างพร้อมกัน

เพราะงานที่ได้อาจไม่มีคุณภาพตามที่ควรจะเป็น ไม่ว่าจะเป็นเพราะคุณจะทำงานไม่สุดความสามารถหรือทำไม่เสร็จสักอย่าง ควรทำงานทีละอย่าง สะสางทีละเรื่อง แล้วจะพบว่าทำงานได้ดีขึ้นและกระวนกระวายใจน้อยลง

6.บริหารเวลาของคุณ

การจัดการเวลาที่ดีช่วยให้คุณทำงานให้เสร็จลุล่วงโดยใช้เวลาน้อยลง หัดจัดลำดับความสำคัญของงาน ซึ่งเป็นทักษะที่สำคัญสำหรับการเอาตัวรอดในช่วงเวลากดดัน เปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับผลลัพธ์มากกว่ากิจกรรม ให้ความสนใจกับประสิทธิภาพมากกว่าความเร่งรีบ

7.ปรับวิธีการทำงาน

การทำงานหักโหมแบบม้วนเดียวจบจนหาช่องว่างให้ตนเองพักไม่ได้ไม่เกิดผลดีต่อทั้งตัวคุณและงานของคุณ ในเวลาพักก็ควรจะพักเพื่อให้สมองปลอดโปร่ง พยายามทำงานให้เสร็จตามเป้าหมายในเวลางาน หากเลือกได้ จัดช่วงเวลาทำงานที่ไม่ก่อให้เกิดความเครียดเข้าไว้ด้วยกัน แล้วเมื่อถึงเวลางานหนัก คุณก็จะไม่ล้าเกินไป

8.ขับรถตามความเร็วที่กำหนด
เหยียบไม่เกิน 90 กม./ชม.

ตลอดระยะเวลาที่ขับรถจากบ้านไปเรียน ไปทำงาน หรือไปทำธุระต่างๆ หากไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรที่เราต้องรีบขับรถ ก็ไม่จำเป็นต้องขับรถเร็วจนติดเป็นนิสัย เพื่อควบคุมอารมณ์ จิตใจ รวมถึงเพื่อความปลอดภัยของคุณเองด้วย

9.ทำรายการที่ต้องทำเป็นประจำทุกวัน

สำหรับใครที่ใน 1 วันมีเรื่องที่ต้องทำมากมาย และทำให้ตัวเองยุ่งวุ่นวายจนไม่สามารถจัดการสิ่งที่ควรจะต้องทำให้สำเร็จตรงตามเวลาได้ ควรจดเอาไว้ว่าในวันนี้มีอะไรต้องทำบ้าง และคอยขีดฆ่าออกไปที่ละอย่างๆ จนหมดนอกจากนี้การจดสิ่งที่จะทำลงไป สามารถช่วยให้เราเรียงลำดับความสำคัญก่อนหลังได้ดีมากขึ้นด้วย

10.โทรหาคนในครอบครัวอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง

หากคุณแยกออกมาอยู่จากครอบครัว ควรติดต่อกับคนที่บ้านอยู่เรื่อยๆ การได้พูดคุยสานสัมพันธ์กับครอบครัวจะทำให้คุณได้รับความอบอุ่น และไม่คิด ว่าตัวเองอยู่ตัวคนเดียว คุยเรื่องสัพเพเหระ อัปเดตชีวิตทำอะไรเกิดอะไรขึ้น บ้างเล็กๆ น้อยๆ รับรองว่าแค่ 5-10 นาทีก็ทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้

11. หยุดพูดว่า "ไม่มีเวลา"

ถ้าคุณเป็นคนที่พูดค่าว่า "ไม่มีเวลา" อยู่บ่อยๆ ควรคิดหาทางจัดการกับเวลาในชีวิตให้ดียิ่งขึ้น และต้องจัดเรียงลำดับความสำคัญให้ได้ว่าอะไรที่มันสำคัญที่ต้องจัดการจริงๆ อะไรที่สามารถตัดออกไปได้ หรือทำอย่างไร ถึงจะมีเวลาว่างมากขึ้นได้ ไม่แน่ว่าจริงๆ แล้วคุณอาจมีเวลาแต่คุณไม่เห็นความสำคัญของสิ่งนั้นมากกว่าก็เป็นได้

12.มองหาสถานที่หรือสิ่งที่ช่วยทำให้จิตใจคุณสงบได้

สถานที่ การกระทำ หรือสิ่งต่างๆ ที่ช่วยให้เราจิตใจสงบ ไม่ว่าวุ่น ซึ่งจะแตก ต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจคันพบว่าตัวเองใจเย็นลงเมื่อได้ลองเล่นดนตรี ลองเล่นโยคะ ได้ทำอาหาร ได้นังชิมกาแฟแก้วโปรดที่คาเฟ่สวยๆได้ฟังเพลงโปรดที่บ้าน ได้วาดรูป ได้ถักนิตติ้ง ได้เดินเที่ยวในป่า ฯลฯ ลองพยายามค้นหาสถานที่หรือกิจกรรมที่ทำให้ใจของคุณสงบให้ได้

13.ลองนั่งสมาธิอย่างจริงจัง

หากคุณไม่สามารถข่มจิตใจของตัวเองให้สงบสุข หรือไม่สามารถควบคุม ตัวเองให้อยู่นิ่งๆ ได้จริงๆ ลองฝึกนั่งสมาชิกอย่างจริงจังดู

14.คิดบวก เมื่อคุณมีภาระมากเกินไปและเร่งรีบ ความคิดเชิงลบจะครอบงำคุณง่าย การทำงานด้วยทัศนคติเชิงบวกสามารถช่วยให้คุณพร้อมรับมือความท้าทายที่เผชิญอยู่ได้ง่ายกว่า ฝึกจัดการความโกรธและฝึกความอดทน หากเราสามารถจัดการกับอารมณ์ของตัวเองได้ดีขึ้น เราก็จะจัดการกับงานได้อย่างสงบและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

15. วางแผนอนาคต

คุณอาจกำลังวุ่นวายอยู่กับวิ่งเต้น กระเลือกกระสนอยู่กับชีวิตอันเร่งรีบ หาเช้ากินค่า และไม่ได้อะไรมากไปกว่าพรุ่งนี้มีอะไรต้องทำและจะทำให้เสร็จ ทันเวลาได้หรือไม่ ลองหาเวลาวางแผนชีวิตของตัวเองในอีกหลายๆ ปีว่ามองตัวเองกำลังทำอะไร เราอยากทำอะไร แล้วเราจะเริ่มทำอะไรในตอนนี้ให้ไปให้ถึงอนาคตที่ตั้งเอาไว้ได้บ้าง ลองกระเกิบออกมามองชีวิตของตัวเองจากมุมมองที่กว้างขึ้นกว่าเดิมอีกนิด

นอกจากนี้ อยากให้ลองหาเวลาพักผ่อนที่เป็นการพักผ่อนจริงๆ เต็มๆ วันดูบ้าง การเดินทาง ไม่คิดเรื่องอะไรที่คิดอยู่ตลอดเวลาและทำให้เครียดอยู่เสมอ ปล่อยมันวางลงและดื่มด่ำกับช่วงเวลาในการเดินทาง นอนนิ่งๆ ให้สมองว่างเปล่า ฟังเสียงคนรอบข้าง เสียงสัตว์ร้องในแหล่งธรรมชาติ มองวิว ภูเขาไกลสุดสายตา มองท้องฟ้า สิ้งเกตก้องเมฆไปเรือยเปื่อยมาก ก็ช่วย ผ่อนคลายสมอง และลดอาการหงุดหงิด และไม่ทำให้การรอเป็นเรืองทรมานจนเกินไปได้อย่างไรก็ตาม

อย่างไรก็ตาม หากอาการของ “ภาวะทนรอไม่ได้” หรือความเครียดไม่ลดลง ควรปรึกษาแพทย์และที่สำคัญต้องควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพก่อนการเปลี่ยนแปลงอาหารหรือระดับการออกกำลังกาย

อ้างอิง: ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ ,สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก กรุงเทพธุรกิจ

สศก.ขับเคลื่อนBig Dataสู่จังหวัดดิจิทัล เป้าเข้าถึงข้อมูลที่แม่นยำและเป็นปัจจุบัน

34 นาทีที่แล้ว

ดาวโจนส์เปิดตลาดร่วงลงแรง จ้างงานสหรัฐต่ำ กำแพงภาษีทรัมป์ฉุด

7 ชั่วโมงที่ผ่านมา

GULF มอบ 18 ล้าน หนุนรพ.จุฬาฯ หาเทคโนโลยีส่องกล้อง ทำลายเนื้องอกตับอ่อนไร้แผล

9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

สมาพันธ์ปศุสัตว์ มองสัญญาณบวก ภาษีสหรัฐเหลือ 19 % มุ่งเดินหน้า การค้า2 ประเทศ

11 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความสุขภาพอื่น ๆ

สาเหตุโรคนอนไม่หลับ สิ่งแวดล้อม สภาพร่างกาย และปัญหาทางใจที่ควรแก้

PPTV HD 36

ใครบ้างควรตรวจพันธุกรรมมะเร็ง? เช็กล่วงหน้าป้องกันความเสี่ยงได้

PPTV HD 36

“N.R.Narong Group” รุกตลาดยาครบวงจร จัดทัพธุรกิจสยายปีกไทย-ต่างประเทศ

ฐานเศรษฐกิจ

4 วิธีดูแลสุขภาพหญิงวัยทองด้วยภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย

ฐานเศรษฐกิจ

คอกระแทกแรง เสี่ยงหมอนรองกระดูกสันหลังปลิ้น ได้จริงหรือไม่?

TNN ช่อง16

“กัลฟ์” มอบ 18 ล้านหนุน รพ.จุฬาฯ จัดหาเทคโนโลยีส่องกล้อง ทำลายเนื้องอกตับอ่อน

ฐานเศรษฐกิจ

อาหารไฟเบอร์สูง ป้องกันท้องผูกเรื้อรัง ขับถ่ายดีสุขภาพแข็งแรง

PPTV HD 36

สปสช. จับมือ รพ.ธรรมศาสตร์ฯ หนุนใช้ สายสวนลากลิ่มเลือด ผลิตในไทย

ฐานเศรษฐกิจ

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...