เพื่อไทยในมรสุม : ปัญหาภายใน ศึกกัมพูชา ฟื้นคะแนนความนิยมที่ลดลง
สถานการณ์การเมืองไทย ณ ขณะนี้เหมือนละครฉากใหญ่ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งและเรื่องราวพลิกผัน ในมุมหนึ่ง พรรคเพื่อไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลกำลังเผชิญกับคลื่นลมมรสุมลูกใหญ่ ทั้งภายในและภายนอกพรรค ในอีกมุมหนึ่ง รัฐบาลก็พยายามอย่างสุดกำลังที่จะสร้างภาพลักษณ์ที่มั่นคงและมีประสิทธิภาพ เพื่อเรียกคะแนนนิยมที่เริ่มลดลงกลับคืนมา
มรสุมที่พรรคเพื่อไทยเผชิญ
พรรคเพื่อไทยกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างยิ่ง นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ถูกสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว ทำให้การบริหารประเทศต้องสะดุด ขณะเดียวกันก็มีข่าวลือเรื่องความขัดแย้งภายในพรรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างสองตระกูลใหญ่ที่เป็นแกนนำ ซึ่งยิ่งสร้างความไม่มั่นคงให้กับการเมืองในสายตาประชาชน นอกจากนี้ คะแนนนิยมของนายกรัฐมนตรีก็ลดลงอย่างน่าใจหาย จากที่เคยสูงถึง 44% ในช่วงแรกของการเข้ารับตำแหน่ง ก็ตกลงมาอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดมีข่าวลือหนาหูว่านายกรัฐมนตรีอาจจะลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในคดีคุณสมบัติ แต่ข่าวนี้ก็ถูกปฏิเสธอย่างหนักแน่นจากเลขานุการนายกรัฐมนตรี โดยให้เหตุผลว่าการลาออกจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องกลายเป็นรัฐบาลรักษาการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการทำงานของรัฐบาลในภาพรวม
กลยุทธ์ของรัฐบาลในการสร้างความสำเร็จ
แม้จะเผชิญกับปัญหาภายใน รัฐบาลก็พยายามอย่างแข็งขันที่จะแสดงให้เห็นถึงผลงานและความสามารถในการบริหารประเทศ โดยใช้กลยุทธ์ "สร้างภาพลักษณ์ที่ดี" เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากประชาชน มีการนำเสนอความสำเร็จในสองประเด็นหลักคือ:
- ประเด็นภาษี Trump: รัฐบาลอ้างว่าสามารถเจรจาแก้ไขปัญหาภาษี 19% ที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- ความขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา: การประชุม GBC (General Border Committee) ถูกนำเสนอว่าเป็นความสำเร็จในการแก้ไขปัญหาชายแดน และมีการวางแผนที่จะประชุมอีกครั้งเพื่อจัดการกับปัญหาที่ค้างคา เช่น ทุ่นระเบิดและแก๊งคอลเซ็นเตอร์
การนำเสนอความสำเร็จเหล่านี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเน้นย้ำว่ารัฐบาลยังคงมีประสบการณ์และความสามารถในการจัดการกับวิกฤติต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อแสดงให้เห็นว่าเรื่องราวภายในพรรคไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการบริหารประเทศ
ข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง
อีกหนึ่งประเด็นร้อนที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงคือ ข้อพิพาทที่ดินเขากระโดง ฝ่ายผู้ถือครองที่ดินที่สนามช้างอินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต ได้ออกมาโต้แย้งว่าคำตัดสินของศาลมีผลเฉพาะกับคู่ความในคดีเท่านั้น และยืนยันว่าโฉนดที่ดินที่พวกเขามีนั้นเป็นหลักฐานการครอบครองที่ถูกต้องตามกฎหมาย
อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านกฎหมายอย่าง ดร. ณัฐวุฒิ วงศ์เนียม ได้ให้ความเห็นโต้แย้งว่า คำตัดสินของศาลสามารถมีผลผูกพันกับบุคคลที่สามได้ และข้อโต้แย้งของผู้ถือครองที่ดินมีข้อบกพร่องทางกฎหมาย เขาแนะนำว่า การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ควรจะยื่นฟ้องขับไล่ผู้ถือครองที่ดินอย่างเด็ดขาดเพื่อยุติข้อพิพาทนี้
สถานการณ์การเมืองในขณะนี้จึงเต็มไปด้วยเรื่องราวที่น่าติดตาม ทั้งความพยายามของรัฐบาลที่จะกอบกู้สถานการณ์และข้อพิพาททางกฎหมายที่ยังคงคาราคาซังอยู่ ซึ่งล้วนแต่ส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเมืองของประเทศในปัจจุบัน
ที่มาประกอบเนื้อหา เนชั่นอินไซต์