‘Last Meeting Theory’ ทำความเข้าใจการจากลาในวันที่จักรวาลเห็นพ้องว่าเราไม่ควรพานพบกันอีก
“ขอเสียงคนยังไม่ลืมแฟนเก่าหน่อยเร็ว”
นั่น ไหนใครเผลอยกมือพร้อมส่งเสียงวู้ว สารภาพมาซะดีๆ นะ แต่ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนรุมประณาม เพราะคนทางนี้ก็ยังมีบ้างที่แอบคิดถึง (ล้อเล่น)
เป็นเรื่องปกติธรรมดามากที่เราจะมีใครสักคนที่ยังติดอยู่ในใจ ใครสักคนที่แม้จะร้องไห้ร่ำลากันไปนานแล้ว แต่ใจลึกๆ เราก็ยังหวังอยู่ตลอดว่าจะได้พบกันอีกสักครั้ง หรือถ้าให้ซื่อสัตย์แบบกลัวฟ้าผ่าเลย ใจเจ้ากรรมมันคงสารภาพว่าอยากจะกลับไปรักกันเหมือนเดิม
แต่ในโลกแห่งความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้นเลย บางการจากลามาเพียงครั้งเดียว และมาโดยไม่ทันได้ตั้งตัว บางการจากลาเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายเพียงเพื่อไม่ได้พบกันอีกต่อไป
คงมีหลายครั้งที่เราสงสัยว่าทำไมถึงไม่ได้เจอคนที่เราอยากเจอเลย ทั้งที่เราสองต่างก็อยู่ในเมืองเดียวกัน เรียนมหา’ลัยเดียวกัน ทำงานที่เดียวกัน แถมวงสังคมยังใกล้ๆ กันอีก และวันนี้เมื่อปีที่แล้ว หรือสองปีที่แล้วเราสองคนยังได้พบกันเป็นประจำอยู่ทุกวัน แต่อยู่ดีๆ วันนี้ฟ้าฝนดันไม่เป็นใจอยากจะให้เราได้พบกันอีกสักครั้งตามที่ใจหวังซะงั้น
และถ้าใครที่บ่นคิดถึงแฟนเก่าบ่อยจนโทรศัพท์แอบฟัง อัลกอริทึม TikTok คงจะรันมาแต่คลิปคนไทยรักคนเก่า จนได้เห็นคลิปเกี่ยวกับ ‘Last Meeting Theory’ หรือทฤษฎีการพบกันครั้งสุดท้าย ทฤษฎีที่ว่าหากเรื่องราวของเรากับใครสักคนสิ้นสุดลงแล้ว จักรวาลจะไม่ส่งให้เรากับเขากลับมาพบกันอีก ราวกับการจากลาในวันนั้นเป็นการจากลาโดยสมบูรณ์แบบแล้ว และถ้าแอบไปร้องไห้กับแม่ว่าทำไมไม่ได้พบเขาอีกเลย แม่คงจะตอบกลับมาสั้นๆ ง่ายๆ ว่า “เธอสองคนหมดวาสนาต่อกันแล้ว” นั่นเอง
Last Meeting Theory ไม่เพียงแต่จะพูดถึงความสัมพันธ์แบบคนรัก ปลอบใจคนคิดถึงแฟนเก่าเท่านั้น แต่ยังพูดถึงความสัมพันธ์แบบเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทที่เรารักมากในวัยเด็ก หรือเพื่อนมหาลัยที่ทะเลาะกันเพราะเรื่องเล็กๆ จนทำให้ไม่ได้คุยกันอีก รวมไปถึงทุกๆ ความสัมพันธ์ และใครบางคนที่เราเผลอย้อนคำนึงถึงในวันที่ไม่ได้พบกันอีกแล้ว
เพราะบางครั้งชีวิตก็เป็นแบบนี้ มีคนผ่านเข้ามาและจากไป ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดกาล
แล้วมีอะไรที่เราทำได้บ้างนอกจากการนอนร้องไห้จนตาบวมในวันที่ต้องยอมรับว่าจะไม่ได้พบกันอีกแล้วนะ
ยอมรับว่ามันจบลงแล้ว
รู้นะว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วมีบางคนแอบบ่นในใจว่าพูดง่าย แต่ทำยาก แต่เชื่อเถอะว่าการยอมรับการจากลา และยอมรับว่าความสัมพันธ์นั้นได้จบลงแล้วเป็นก้าวแรกของการเดินต่อไปข้างหน้าจริงๆ
ไม่แปลกเลยที่เราจะเผลอนึกถึงเรื่องราวที่จบลงไปแล้ว แต่สิ่งที่เราต้องไม่ลืมเลย คือการยอมรับว่ามันจบลงแล้ว และไม่ใช่ทุกการจากลาจะมีแต่น้ำตา บางครั้งเมื่อมองย้อนไป ในความสัมพันธ์นั้นก็ยังมีเรื่องดีๆ และรอยยิ้มอยู่มากมาย สิ่งเหล่านี้คงจะช่วยคลายเศร้าในวันที่ไม่ได้พบกันอีกได้บ้าง
คิดเสียว่านี่เป็นอีกหนึ่งบทในชีวิตที่จบลง
หากใครสิงอยู่ในโซเชียลมีเดียช่วงที่ผ่านมาคงได้เห็นทฤษฎี Let Them ที่ว่าให้เราปล่อยเขาไป ไม่ว่าจะเป็นใคร หรือความสัมพันธ์ไหน จงยอมรับว่าเราไม่สามารถควบคุมสิ่งใดได้นอกจากตัวเราเอง ดังนั้นปล่อยเขาไปซะ แล้วกลับมาโฟกัสตัวเองเถอะ
พูดให้เห็นภาพก็คงจะเหมือนกับในหนังหรือละคร ที่หากตัวละครไหนหมดหน้าที่แล้ว ตัวละครนั้นจะหายไป หากเปรียบว่าชีวิตเราเป็นละครสักหนึ่งเรื่องมันก็คงแบบนั้นเช่นกัน อย่าเสียใจหากเราต้องหายไปจากเรื่องราวของใครสักคน เพราะเราเองก็มีเรื่องราวของตัวเอง มีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ในละครของเราเอง
และมันก็เหมือนกับละครเรื่องอื่นๆ ที่เมื่อตัวละครใดก็ตามเข้ามาและได้ทำตามบทบาทของตัวเองอย่างสมบูรณ์แล้ว ไม่ว่าดีหรือร้าย จงปล่อยให้เขาหายไป จำไว้ว่าเขาไม่มีผลอะไรกับเส้นเรื่องของเราแล้ว แม้จะอยากกรีดร้องว่า “ก็เขาเป็นดาราประจำช่องของฉันนี่!” มากแค่ไหนก็ตาม ก็ต้องอย่าลืมกลับมาโฟกัสตัวเอง และเดินหน้าไปหาตอนต่อไปในละครของตัวเราเอง เพราะการพบกันครั้งสุดท้ายนี้ไม่ใช่ตอนจบของละคร แต่เป็นการจบลงเพื่อไปสู่ตอนต่อไปของชีวิตเราต่างหาก
หนทางเยียวยาไม่เคยเดินเป็นเส้นตรง
หลังจากผ่านการยอมรับ และปล่อยเขาไปแล้ว ก็คงจะมีบางวันที่เราร้องไห้แทบขาดใจทั้งที่เมื่อวันก่อนยังยิ้มร่าป่าวประกาศบอกเพื่อนว่าฉันมูฟออนได้แล้ว หรือมีบางวันที่เผลอกดเข้าไปส่องดูชีวิตเขาว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง ยืนยันว่าไม่ต้องกลัวโดนประณาม หรือโดนตีมือ แต่จะขอบีบมือให้กำลังใจ พร้อมแอบกระซิบให้รู้ว่าเราเองก็เพิ่งจะเข้าใจว่า มูฟออนเป็นวงกลมเดินหน้าสามก้าวถอยหลังสี่ก้าวเป็นยังไงเหมือนกัน
เราไม่จำเป็นต้องห้ามตัวเองว่าอย่าคิดถึง ไม่ต้องกลั้นน้ำตาถ้าอยากร้องไห้ ไม่ต้องด่าทอตัวเองหากรู้สึกโกรธแค้น ปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไป เรียนรู้ เข้าใจ และอยู่กับอารมณ์ที่เกิดขึ้น นี่ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะทำให้เราได้กลับมาหาตัวเองด้วยเหมือนกันนะ
ไม่โหยหาอดีต และกังวลต่ออนาคต
บางทีสิ่งที่ดีที่สุดที่เราจะทำได้ในวันที่ต้องยอมรับว่าจะไม่ได้พบกันอีก คงจะเป็นการ 'อยู่กับปัจจุบัน' เตือนใจตัวเองหากเผลอหวนคืนความทรงจำสีเศร้านั้นว่ามันจบสิ้นไปแล้ว และหยุดยั้งตัวเองหากตื่นกลัวกับความคาดเดาไม่ได้ของอนาคต
เหมือนกับแนวคิดที่มีชื่อว่า ‘อิจิโกะ อิจิเอะ’ (Ichigo Ichie) ที่สอนให้เราเห็นคุณค่าของทุกวินาทีที่มีอยู่ แนวคิดนี้เป็นปรัชญาของชาวญี่ปุ่นที่เกิดขึ้นจากพิธีชงชา เนื่องจากในอดีตการเดินทางไปมาหาสู่กันนั้นลำบากกว่าปัจจุบัน การที่เราจะได้เข้าร่วมพิธีชงชาและมีบทสนทนาร่วมกับใครสักคนจึงถือเป็นเรื่องยาก และการได้วนกลับมาเข้าร่วมพิธีชงชาด้วยกันอีกนั้นยากยิ่งกว่า จนอาจพูดได้ว่าการพบกันตรงหน้านี้อาจเป็นครั้งเดียวและครั้งสุดท้ายเลยก็ได้
เพราะอย่างนั้นแล้ว จงทำทุกช่วงเวลาให้มีความหมาย รักเมื่อยังรักได้ และดีต่อกันเมื่อมีกันอยู่ นี่อาจจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่เราจะจดจำกันและกันในวันที่ต้องจากลาก็ได้นะ
คงเป็นเรื่องยากที่เราจะหลีกหนีการจากลา และบางการจากลานำมาซึ่งความคิดถึงจนต้องอ้อนวอนให้จักรวาลเหวี่ยงเราและเขากลับมาพบกันอีกสักครั้ง แต่หากถึงวันนั้นแล้วจักรวาลไม่เป็นใจยอมทำตามขอ ก็อย่าเพิ่งโกรธฟ้าโกรธฝนจนตาเขียวปั๊ด แต่ให้มองไปรอบๆ ตัว ณ ขณะนั้นก่อน เราอาจเห็นใครสักคนที่รัก และห่วงใยเราอยู่ คนที่ยังไม่หายไปจากเส้นเรื่องของชีวิตเรา แต่ถ้ายังหาไม่เจอก็ไม่ต้องเสียใจไป เพราะบนโลกใบนี้ต้องมีใครสักคนที่รักเรามากๆ อยู่อย่างแน่นอน อย่างน้อยที่สุดก็มีอยู่แล้วหนึ่งคน นั่นคือตัวของเราเอง