MOU 43–44 คืออะไร? ทำไมสภาฯ ถึงล่มก่อนอภิปราย
MOU 43–44 ไทย–กัมพูชา ญัตติด่วนที่สภาฯ ยังไม่ทันได้พิจารณา
การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ถูกจับตามองอย่างมาก เนื่องจากมีวาระสำคัญคือการพิจารณาญัตติด่วนว่าด้วยบันทึกความเข้าใจ MOU 43 และ MOU 44 ระหว่างไทย–กัมพูชา ญัตตินี้ถูกเสนอโดย นายสฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง ส.ส.จังหวัดกระบี่ พรรคภูมิใจไทย โดยมีเป้าหมายให้สภาฯ ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษาความเป็นไปได้ในการยกเลิกข้อตกลงทั้งสองฉบับ
เหตุผลที่ใช้ประกอบญัตติคือ ข้อตกลงดังกล่าวถูกมองว่ากระทบต่อผลประโยชน์ของชาติ ทั้งด้านเขตแดนและทรัพยากรพลังงาน โดยเฉพาะ MOU 43 ซึ่งตลอดเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา ไทยระบุว่ากัมพูชาละเมิดเงื่อนไขมากกว่า 600 ครั้ง ส่งผลให้เกิดปัญหาความมั่นคงชายแดน รวมถึงความไม่สงบในหลายจังหวัด ขณะที่ MOU 44 ก็ยังถูกวิพากษ์วิจารณ์ในทางกฎหมายว่าถือเป็น “โมฆะตั้งแต่ต้น” เนื่องจากไม่ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันประชุมจริง ที่ประชุมกลับถูกสั่งปิดกะทันหันในเวลา 14:59 น. หลังเสร็จสิ้นวาระการรับทราบรายงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ โดยยังไม่ทันได้เข้าสู่วาระอภิปรายญัตติด่วนดังกล่าว การยุติการประชุมเช่นนี้สร้างกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทั้งจากสมาชิกสภาและสังคมภายนอก โดยเฉพาะในขณะที่หน้ารัฐสภามีกลุ่ม “รวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย” ชุมนุมกดดัน เรียกร้องให้ยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับ
ทั้งสอง MOU เกี่ยวพันกับประเด็นสำคัญของประเทศ ทั้งเรื่องความมั่นคงชายแดนและทรัพยากรพลังงานในทะเล ดังนั้น TNN จะพาผู้อ่านไปทำความเข้าใจในภาพรวมของ MOU 43 และ MOU 44 ว่ามีสาระสำคัญอย่างไร เหตุใดจึงถูกตั้งคำถาม และทำไมจึงยังคงเป็นประเด็นการเมืองที่ถกเถียงต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
MOU 43 การปักปันเขตแดนทางบก
MOU 43 มีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยและกัมพูชาว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก” ลงนามเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2543 ที่กรุงพนมเปญ โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย
ข้อตกลงนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกรอบการทำงานร่วมกันในการสำรวจและกำหนดเส้นเขตแดน โดยเฉพาะพื้นที่ที่ยังมีข้อพิพาท เช่น รอบปราสาทพระวิหาร โดย ข้อ 5 กำหนดว่า ทั้งสองฝ่ายต้องงดเว้นการดำเนินการใด ๆ ที่เปลี่ยนแปลงสภาพพื้นที่ชายแดน เพื่อรอผลการสำรวจร่วมกัน
ตลอดกว่า 20 ปีที่ผ่านมา มีรายงานว่า กัมพูชาละเมิด MOU 43 มากกว่า 600 ครั้ง ทั้งการก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวรในพื้นที่ การขยับกำลังทหาร และการวางกับระเบิด ขณะที่ไทยได้ร้องเรียนเป็นระยะ แต่มีเพียงบางส่วนที่ได้รับการแก้ไข
MOU 44 ความร่วมมือด้านปิโตรเลียมในทะเล
MOU 44 มีชื่อเต็มว่า “บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านทรัพยากรปิโตรเลียมในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล” ลงนามเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2544 โดยนายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในสมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร
MOU 44 กำหนดกรอบการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกว่า 26,000 ตารางกิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนบนประมาณ 10,000 ตารางกิโลเมตร เพื่อเจรจาปักปันเขตแดน และส่วนล่างประมาณ 16,000 ตารางกิโลเมตร ที่กำหนดให้เป็น เขตพัฒนาร่วม (Joint Development Area – JDA) สำหรับการใช้ประโยชน์ด้านปิโตรเลียมร่วมกัน
ข้อวิพากษ์วิจารณ์สำคัญ คือ แผนที่แนบท้ายที่กัมพูชาลากเส้นอ้างสิทธิผ่าน เกาะกูดของไทย ซึ่งถูกมองว่าขัดต่อกฎหมายทะเลระหว่างประเทศ แม้นักวิชาการบางส่วนอธิบายว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเพียงการอ้างสิทธิ ไม่ใช่เขตแดนที่มีผลทางกฎหมายก็ตาม
มุมมองทางการเมือง
ประเด็น MOU 43 และ MOU 44 กลายเป็นประเด็นการเมืองที่แบ่งออกเป็นสองขั้วชัดเจน ฝ่ายที่ต้องการยกเลิก เช่น พรรคพลังประชารัฐและพรรคภูมิใจไทย เห็นว่าข้อตกลงทั้งสองฉบับเปิดช่องให้ไทยเสียเปรียบ และไม่เคยผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาตามรัฐธรรมนูญ ขณะที่อีกฝ่าย เช่น พรรคประชาชน เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญ ศึกษารอบด้านก่อนตัดสินใจ โดยมองว่าการยกเลิกทันทีอาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและความมั่นคงในอนาคต
MOU ทั้งสองฉบับถูกวิจารณ์อย่างมากในเชิงกฎหมาย โดยเฉพาะ MOU 44 ที่ถูกมองว่า “โมฆะตั้งแต่ต้น” เนื่องจากไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ขัดต่อหลักการในรัฐธรรมนูญว่าด้วยการทำสัญญาระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ยังมีข้อกังวลว่าการใช้แผนที่ที่ไทยไม่ยอมรับมาเป็นฐานการเจรจา อาจส่งผลเสียต่ออธิปไตยในระยะยาว
ผลกระทบหากยกเลิกหรือคงอยู่
ในมิติทางเศรษฐกิจ พื้นที่ JDA ตาม MOU 44 ถือว่ามีศักยภาพสูงด้านก๊าซธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นแหล่งพลังงานสำคัญของไทย หากยกเลิก MOU นี้ อาจทำให้การพัฒนาและการลงทุนล่าช้า หรือสูญเสียโอกาสร่วมพัฒนาไป ขณะเดียวกัน ในมิติความมั่นคง MOU 43 แม้จะมีข้อถกเถียง แต่ก็ช่วยรักษาช่องทางการเจรจา ลดโอกาสที่ข้อพิพาทชายแดนจะถูกนำไปสู่การพิจารณาของศาลโลก ซึ่งอาจสร้างความเสียหายรุนแรงกว่า
สถานการณ์ปัจจุบัน
การปิดประชุมสภาเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2568 ทำให้การอภิปรายยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับยังไม่เกิดขึ้น ขณะที่แรงกดดันจากผู้ชุมนุมและกระแสสังคมยังคงดำเนินต่อเนื่อง ประเด็นนี้จึงยังอยู่ในความสนใจของประชาชน และเป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องตัดสินใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ระหว่างการคุ้มครองอธิปไตย การรักษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการบริหารผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “พิชัย” รับข้อเสนอ “หอการค้าไทย” ฟื้นฟูเศรษฐกิจ 7 จังหวัดชายแดน จากผลกระทบไทย-กัมพูชา
- ไทยนำเข้าแรงงานศรีลังกา 1 หมื่นคน ทดแทนชาวกัมพูชาแห่กลับประเทศ แก้ปัญหาขาดแคลนแรงงาน
- “วปอ.66” รวมพลังปกป้องผืนแผ่นดินไทย
- จากสมรภูมิรบสู่จอมือถือ เมื่อใคร ๆ ก็ร่วมสงคราม ผ่านข้อมูลข่าวสารได้
- สงครามยุคใหม่ “โดรน” สู่อาวุธทรงพลัง พลิกโฉมสมรภูมิรบ