เดลต้า ยกระดับความยั่งยืนไทยไร้คาร์บอน 'ESG -นวัตกรรมสีเขียว' ใน 'Delta ESG Forum'
เดลต้า ผลักดันความยั่งยืนด้วยการกำหนดราคาคาร์บอนภายใน
เดลต้าได้ริเริ่ม โครงการกำหนดราคาคาร์บอนภายใน (Internal Carbon Pricing: ICP) ในระดับโลก โดยกำหนดอัตราที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) หนึ่งตัน กลไกนี้เป็นหัวใจสำคัญในการจัดสรรงบประมาณสำหรับโครงการอนุรักษ์พลังงานและการพัฒนาความยั่งยืนภายในองค์กร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรดแมปของเดลต้าในการบรรลุเป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
ความมุ่งมั่น การผนึกกำลังเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน
วิคเตอร์ เจิ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 37 ปีที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทย Delta Electronics (Thailand) ได้พิสูจน์ถึงความสำเร็จทั้งในเชิงธุรกิจและความยั่งยืน ด้วยรายได้ทั่วโลก 4.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปีที่ผ่านมา และอัตราการเติบโตที่น่าประทับใจถึง 129% ตั้งแต่ปี 2563 ถึง 2567 ปัจจุบันบริษัทมีพนักงานกว่า 20,000 คนในประเทศไทย และเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์จ่ายไฟรายใหญ่ที่สุดของโลก
ความมุ่งมั่นด้าน ESG ของ Delta ได้รับการยอมรับในระดับสากล โดยอยู่ใน ดัชนีความยั่งยืนของ Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) 4 ปีซ้อน และเป็นบริษัทไทยแห่งเดียวในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ที่ได้รับเกียรตินี้ นอกจากนี้ยังได้รับรางวัลอุตสาหกรรมดีเด่นจากนายกรัฐมนตรีไทยในปี 2555 และ 2566 รวมถึงติดอันดับ Fortune Asia for Future 30 ในปี 2566
เมกะเทรนด์ ESG โอกาสและความท้าทายของประเทศไทย
เวที Forum ได้ฉายภาพเมกะเทรนด์สำคัญที่กำลังขับเคลื่อนวาระ ESG ทั่วโลก
- การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Global Warming): เป็นเมกะเทรนด์ที่สำคัญและไม่สามารถย้อนกลับได้ ซึ่งต้องเร่งดำเนินการ
- การลงทุนในพลังงานสีเขียว: การลงทุนทั่วโลกพุ่งสูงถึง 2.1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์ของไทยมีการเติบโตประมาณ 10%
- การรายงานความยั่งยืนภาคบังคับ: การเปิดเผยข้อมูลคาร์บอนฟุตพริ้นท์กำลังกลายเป็นข้อกำหนดจากหน่วยงานกำกับดูแลทั่วโลก
- นวัตกรรมการเงินที่ยั่งยืน: "เงินทุนไหลตาม" กิจกรรมด้านความยั่งยืน พร้อมนวัตกรรมทางการเงิน เช่น กรีนบอนด์ และการเงินสีเขียวที่ใช้แพลตฟอร์มฟินเทคและบล็อกเชน
- ความเสี่ยงด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ: การไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานสากล เช่น EU CSRD และ US SEC อาจนำไปสู่บทลงโทษและการเสียความเชื่อมั่น
ประเทศไทยได้ให้คำมั่นที่จะบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2608 แม้รายงาน Footsie for Good 2566 ระบุว่าประเทศไทยมีผลงานด้าน ESG ที่โดดเด่น และมีบริษัทไทย 46 แห่งเผยแพร่สมุดประจำปีด้านความยั่งยืน แต่ก็ยังมีช่องว่างที่ต้องเร่งพัฒนา
“เมื่อเทียบกับโลกแล้ว ประเทศไทยกำลังทำได้ค่อนข้างดี…แต่ในทางกลับกัน มีเพียง 17% ของบริษัทจดทะเบียนไทยที่เปิดเผยเป้าหมายสภาพภูมิอากาศโดยอิงวิทยาศาสตร์ เทียบกับ 33% โดยเฉลี่ยทั่วโลก และ 15% ของไฟฟ้าในประเทศไทยเป็นสีเขียว ซึ่งน้อยไปหน่อยเมื่อเทียบกับประเทศที่มีผลกระทบใกล้เคียงกันโดยเฉลี่ย 30% ดังนั้นจึงมีความพยายามและความต้องการอีกมากที่เราต้องเร่งให้ทัน” ผู้เชี่ยวชาญจากเวที Forum ชี้ให้เห็น
บทเรียนความสำเร็จ ESG จาก Delta ลงทุนเพื่อผลกระทบที่แท้จริง
ความสำเร็จด้าน ESG ของ Delta เกิดจากการตั้งเป้าหมายที่ชัดเจน นอกเหนือจากจริยธรรมทางธุรกิจ บริษัทเริ่มต้นการแก้ปัญหาพลังงานมานานแล้ว โดยสร้าง อาคารสีเขียวแห่งแรกในประเทศไทยในปี 2549 ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานและน้ำได้ประมาณ 30% ปัจจุบัน Delta มีโรงงานสีเขียวประมาณ 40 แห่ง และยังได้สนับสนุนหรือบริจาคอาคารสีเขียวอีก 35 แห่งให้กับอุตสาหกรรม
“จากประสบการณ์ของ Delta เราเริ่มมองปัญหาพลังงานนี้มานานแล้ว…เราได้สร้างอาคารสีเขียวประมาณ 40 แห่งสำหรับตัวเราเอง และอาคารสีเขียวอีกประมาณ 35 แห่งที่เราสนับสนุนหรือบริจาคให้กับอุตสาหกรรม”
Delta ยืนยันว่าการลงทุนด้าน ESG ถือเป็นการลงทุนไม่ใช่ค่าใช้จ่ายระยะยาว เนื่องจากช่วยประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายได้อย่างแท้จริง โดยตั้งแต่ปี 2559-2567 แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของ Delta ประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 45 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่า 120 ล้านบาท ขณะที่การริเริ่มประหยัดพลังงานอื่นๆ ประหยัดไฟฟ้าได้อีกกว่า 30 ล้านหน่วย คิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท
“ในช่วง 8 ปีนี้ เราได้รวบรวมข้อมูลบางอย่าง แผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาของเรา…ประหยัดไฟฟ้าได้ประมาณ 45 ล้านหน่วย…ประมาณ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐที่เราประหยัดได้ในช่วง 8 ปีนี้ นี่เป็นจำนวนที่สำคัญ”
นวัตกรรมสำคัญอีกประการคือการกำหนด ราคาคาร์บอนภายใน (Internal Carbon Pricing) ที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนที่ปล่อยออกมา ซึ่งธุรกิจต่างๆ จะถูกคิดภาษีคาร์บอนนี้ และเงินที่ได้จะนำไปใช้ในการดำเนินงานด้านการประหยัดพลังงานและความยั่งยืน
วิธีหนึ่งที่ทำคือการกำหนดราคาคาร์บอนที่ 300 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันคาร์บอนที่ปล่อยออกมา ดังนั้นแต่ละธุรกิจจะถูกเก็บภาษีคาร์บอนนี้ แต่โดยการใช้เงินทุนจากภาษีคาร์บอน นำไปใช้ในการประหยัดพลังงานและการปฏิบัติที่ยั่งยืนมากมาย เพื่อช่วยให้ประหยัดพลังงานได้มากขึ้น หรือใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น