พระปรางค์วัดอรุณฯ สัญลักษณ์ไทยอันทรงคุณค่าจากอยุธยาสู่รัตนโกสินทร์
พระปรางค์วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า “พระปรางค์วัดอรุณฯ” กำลังได้รับความสนใจจากทั้งชาวไทยและนานาประเทศอีกครั้ง หลังได้รับการบรรจุชื่อเข้าสู่บัญชีรายชื่อเบื้องต้นมรดกโลก ขององค์การยูเนสโกอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2568 จากการเปิดเผยของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ข่าวดีครั้งนี้มีขึ้นหลังจากคณะกรรมการมรดกโลกสมัยสามัญ ครั้งที่ 47 ซึ่งจัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส รับทราบการเสนอชื่อพระปรางค์วัดอรุณฯ เข้าสู่ขั้นตอนแรกของการพิจารณาเป็นมรดกโลก โดยฝ่ายไทยเตรียมยื่นเอกสารเสนอชื่ออย่างเป็นทางการ (Nomination Dossier) เพื่อผลักดันให้สถาปัตยกรรมอันทรงคุณค่านี้ได้รับการรับรองในระดับนานาชาติในลำดับถัดไป
TNN ขอนำผู้อ่านย้อนรอยความเป็นมาและความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของพระปรางค์วัดอรุณฯ หนึ่งในสัญลักษณ์ศรัทธาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ที่งดงามเหนือกาลเวลา
จากวัดมะกอกสู่วัดอรุณฯ ต้นกำเนิดพระปรางค์แห่งสยาม
จุดเริ่มต้นของพระปรางค์วัดอรุณฯ ย้อนไปถึงยุคกรุงศรีอยุธยา โดยในช่วงนั้นตัวพระปรางค์ยังมีขนาดไม่ใหญ่มากนัก สูงราว 16 เมตร ตามบันทึกโบราณชื่อเดิมของวัดคือ “วัดมะกอก” หรือ “วัดบางมะกอก” ซึ่งตั้งชื่อตามตำบลที่ตั้งอยู่ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น “วัดแจ้ง” และในที่สุดจึงได้รับพระราชทานนามว่า “วัดอรุณราชวราราม” ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
เมื่อเข้าสู่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่ 2) พระองค์ทรงมีพระราชประสงค์จะเสริมสร้างพระปรางค์ให้มีขนาดสูงใหญ่ขึ้น เพื่อใช้เป็นพระมหาธาตุประจำพระนคร โดยมีแนวคิดที่จะสร้างพระปรางค์องค์ใหม่ขึ้นครอบองค์เดิม อย่างไรก็ตามภายหลังจากที่ขุดรากฐานแล้ว การก่อสร้างต้องหยุดชะงักเนื่องจากพระองค์เสด็จสวรรคต
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) พระราชภารกิจนี้จึงได้รับการสานต่อ โดยพระองค์เสด็จวางศิลาฤกษ์ด้วยพระองค์เองในวันที่ 2 กันยายน พุทธศักราช 2385 และดำเนินการก่อสร้างต่อเนื่องเป็นระยะเวลาถึง 9 ปี ก่อนจะแล้วเสร็จในปีพุทธศักราช 2394 นับเป็นโบราณสถานขนาดใหญ่ที่ใช้เวลาสร้างนานถึงเกือบหนึ่งทศวรรษ
ลักษณะสถาปัตยกรรมของพระปรางค์วัดอรุณฯ มีความวิจิตรงดงาม โดยโครงสร้างเป็นการก่ออิฐถือปูน พร้อมประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ ชิ้นเปลือกหอย และเครื่องเบญจรงค์สีสันสดใสซึ่งนำเข้าจากประเทศจีน นอกจากนี้ยังมีรูปปั้นกินนร กินรี เทวดา ยักษ์ และพญาครุฑ ประดับรายรอบ องค์ประกอบเหล่านี้สะท้อนถึงความประณีตและการบูรณาการศิลปะจากหลายวัฒนธรรมเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนยอดบนสุดของพระปรางค์ติดตั้งนภศูลซึ่งเชื่อกันว่าได้มาจากมงกุฎพระพุทธรูปทรงเครื่อง อันเป็นการยกระดับสัญลักษณ์ของความศักดิ์สิทธิ์และอำนาจทางศาสนา
สูงเสียดฟ้า ลึกถึงจักรวาล พระปรางค์วัดอรุณฯ ในมิติแห่งจักรวาลคติ
ในแง่ของมิติทางสัญลักษณ์ พระปรางค์วัดอรุณฯ ได้รับการออกแบบตามแนวคิดเรื่อง “ภูมิจักรวาล” โดยมีองค์ปรางค์เปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ อันเป็นศูนย์กลางจักรวาลตามคติไตรภูมิของศาสนาพุทธ ซึ่งเป็นแนวคิดที่แสดงถึงความลึกซึ้งของโครงสร้างความเชื่อในสมัยโบราณที่ผสมผสานเข้ากับงานสถาปัตยกรรมอย่างแนบเนียน
พระปรางค์องค์ประธานมีความสูงถึง 81.85 เมตร นับเป็นพระปรางค์ที่สูงที่สุดในประเทศไทย และยังเป็นหนึ่งในพระปรางค์ที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของพระราชศรัทธาและความสามารถของช่างฝีมือไทยในอดีต
แม้ว่าการก่อสร้างจะเสร็จสมบูรณ์มาตั้งแต่รัชกาลที่ 3 แต่พระปรางค์วัดอรุณฯ ก็ยังคงได้รับการบูรณะและดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีการซ่อมแซมขนานใหญ่เพื่อรักษารูปลักษณ์และความมั่นคงทางโครงสร้างเอาไว้ให้ใกล้เคียงกับสมัยเริ่มแรกมากที่สุด
เมื่อพิจารณาจากความงดงามทางศิลปะ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ และบทบาททางประวัติศาสตร์แล้ว พระปรางค์วัดอรุณฯ ไม่เพียงเป็นโบราณสถาน หากแต่เป็นมรดกแห่งศรัทธาและอัตลักษณ์ของชาติไทยที่ยังคงตั้งตระหง่านอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาอย่างมั่นคงจนถึงทุกวันนี้
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “ปราสาทตาเมือนธม” เป็นของใคร? เปิดประวัติศาสนสถานขอมโบราณเมืองสุรินทร์
- เชิญชวนส่งภาพประกวด “ส่องพระธรรม (ทำ) นำพระพุทธศาสนายั่งยืน” ชิงโล่สมเด็จพระสังฆราชฯ
- ชง “พระปรางค์วัดอรุณฯ” ดันขึ้นเป็น “มรดกโลก”
- เตรียมผลักดันพระปรางค์วัดอรุณฯ ขึ้นทะเบียนมรดกโลก ยูเนสโก
- ชวนพุทธศาสนิกชน ร่วมทำบุญปรับภูมิทัศน์ "วัดอรุณฯ" เตรียมขึ้นทะเบียนมรดกโลก