‘เหล่าทัพ’แจง ช็อปชื้อ‘อาวุธ’ งบประมาณ69
ผบ.เหล่าทัพตบเท้าชี้แจงงบปี 2569 “ผบ.ทอ.” ยึดสมุดปกขาว เผยกริพเพนจ่อเข้า ครม. “ผบ.ทร.” แจงซื้อเรือฟริเกต 2 ลำ ส่วนเรือดำน้ำรอ “รมว.กห.” ชี้ขาด “ผบ.ทบ.” แจงจัดหายานเกราะจากต่างประเทศ ปลุกปั้นห้องปฏิบัติการ รร.นายร้อย จปร. พัฒนายุทโธปกรณ์-อาวุธระยะยาว
เมื่อวันศุกร์ที่ 27 มิ.ย.2568 ในการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2569 ในส่วนของกระทรวงกลาโหม วงเงิน 204,434 ล้านบาท ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ได้แก่ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม, พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.), พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ), พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) และ พล.อ.อ.พันธ์ภักดี พัฒนกุล ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) เข้าร่วมชี้แจงภาพรวมงบประมาณของหน่วยงานภายใต้กำกับดูแลและงบของเหล่าทัพต่างๆ อย่างพร้อมเพรียง
พล.อ.อ.พันธ์ภักดีกล่าวก่อนชี้แจงว่า การจัดซื้ออาวุธยุทธโธปกรณ์ในปีนี้ เราพิจารณาตามสมุดปกขาว ทอ.ที่ได้จัดทำไว้ ซึ่งคำนึงถึงความคุ้มค่าและความจำเป็น ส่วนการจัดซื้อเครื่องบินรบฝูงใหม่ที่คัดเลือกกริพเพนนั้น เป็นการตั้งงบประมาณในปี 2568 ระหว่างนี้อยู่ในกระบวนการเตรียมเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในเดือน ก.ค.นี้ เพื่อขออนุมัติมอบหมายให้ ทอ.เป็นผู้ลงนามทำสัญญา ซึ่ง รมว.กลาโหมระบุว่าหากเรื่องมาถึงตัวท่านเองพร้อมเซ็นและอนุมัติ
ด้าน พล.อ.ทรงวิทย์ ชี้แจงงบประมาณของกองทัพไทย ตอนหนึ่งว่า สถานการณ์ภัยคุกคามในปัจจุบันยังเป็นเรื่องของการแข่งขันการขยายอำนาจและกำลังทางทหารในภูมิภาค รวมถึงภัยคุกคามกลุ่มทุนสีเทาที่มีความรุนแรงมากขึ้น กองทัพไทยจึงได้ของบประมาณเพื่อไปดำเนินการเช่นเดียวกันกับกองทัพเรือและกองทัพอากาศ เพื่อให้รู้การปฏิบัติงานทั้ง 3 มิติ รวมถึงการปฏิบัติการด้านไซเบอร์
“โครงการคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความจำเป็น ซึ่งเป็นโครงการเริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2570 ซึ่งทุกแพลตฟอร์มของ 3 เหล่าทัพ หากไม่สามารถครองคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้ ไม่สามารถติดต่อสื่อสารระบบอาวุธได้ การเอาชนะสงครามในปัจจุบัน ต้องครองคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าให้ได้” พล.อ.ทรงวิทย์กล่าว
พล.ร.อ.จิรพลระบุว่า ทร.มีความต้องการบริหารงบประมาณให้สามารถรองรับการจัดหายุทโธปกรณ์ที่ทันสมัย ตอบสนองแนวคิดการใช้กำลังทางเรือในปัจจุบันและในอนาคต เข้ามาทดแทนยุทโธปกรณ์ที่มีความล้าสมัยที่ใช้ในราชการมาอย่างยาวนาน โครงการที่สำคัญคือโครงการจัดหาเรือฟริเกต 2 ลำ เพื่อเป็นหลักประกันในการรักษาผลประโยชน์ของชาติตามหน้าที่ของ ทร. โดย ทร.ได้กำหนดยุทธศาสตร์ไว้ว่า ภายใน 2580 กองทัพเรือจะมีความต้องการต่อเรือฟริเกตสมรรถนะสูงภายในประเทศเพิ่มขึ้นอีก 4 ลำ เพื่อประจำการในพื้นที่ปฏิบัติการ
“ทร.มีการสอบถามอู่ต่อเรือแต่ละประเทศว่ามีความสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งขณะนี้มีร่วม 10 บริษัท ต่างชาติให้ความสนใจ ภาพรวมส่วนใหญ่ก็มีความพร้อมที่จะทำต่อเนื่อง ถ้า ทร.ได้รับความเห็นชอบซื้อฟริเกตเรือ 2 ลำ ก็จะสร้างความมั่นใจมากขึ้นในเรื่องคุ้มค่าที่จะลงทุน”
สำหรับโครงการเรือดำน้ำ พล.ร.อ.จิรพลกล่าวว่า แม้ไม่ได้อยู่ในงบ 2569 แต่ได้นำข้อมูลนำเสนอรัฐบาลตัดสินใจ 2 ข้อ คือ 1.เรามั่นใจว่าเครื่องยนต์ที่จีนเสนอเข้ามามีขีดความสามารถทดแทนเครื่องของเยอรมนีที่ไม่สามารถส่งมาได้ และ 2.ถ้าเปลี่ยนเครื่องยนต์ก็ต้องขยายระยะเวลาโครงการออกไป เพราะเขาต้องดำเนินการสร้างเครื่องขึ้นมาใหม่ 3 เครื่องยนต์ ใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ ถ้า ครม.ไม่เห็นด้วย ก็สามารถยกเลิกโครงการได้ อยู่ที่ รมว กห.ตัดสินใจ ซึ่งท่านให้สัมภาษณ์ว่าจะทำให้จบก็ต้องรอดูอยู่ว่าจะจบแบบไหน
ส่วน พล.อ.พนากล่าวว่า งบประมาณการจัดหา ฮ.แบล็กฮอว์ก 4,900 ล้านบาท เป็นโครงการผูกพัน ซื้อในระบบ Foreign Military Sales หรือ FMS จากสหรัฐ ไม่มีผู้แทนบริษัทใดๆ เป็นการซื้อตรงจากรัฐบาลสหรัฐ เป็นความต่อเนื่องระบบงบปีประมาณ ซึ่งกำลังทยอยส่งมอบให้ ทบ. ส่วนโครงการยานเกราะล้อยาง เช่น BTR3, VN-1, สไตรเกอร์ หรือยานเกราะรุ่นเก่า V150 การพัฒนาเหล่าทหารราบและทหารม้าที่เป็นกำลังรบหลัก เราพัฒนาจากการเดินเท้ามาเป็นการใช้ยานเกราะ
สำหรับยานเกราะ VN-1 ที่ซื้อมา ตอนนี้รถส่วนใหญ่ยังใช้การได้ค่อนข้างสมบูรณ์ ส่วน BTR3 ในการซ่อมบำรุงต่างๆ เป็นไปตามขั้นตอน รถต้นแบบที่เราส่งไปซ่อมบำรุง สามารถนำส่งให้ ทบ.เรียบร้อยแล้ว 6 คันตามสัญญา ซึ่ง ทบ.ได้มีการตรวจรับเรียบร้อย ส่วนการดูแลยานรบอย่างอื่นที่เก่า เรามีแผนซ่อมบำรุง อันไหนที่เราซ่อมได้ก็จะซ่อมต่อไปให้ใช้งานดีตามจำนวนที่เรามีความจำเป็นเร่งด่วนใช้งาน ไม่ใช่มี 100 คันต้องซ่อม 100 คัน แต่เราเน้นความจำเป็นตามภัยคุกคามในช่วงเวลานั้นๆ
“ไม่ใช่ว่า ทบ.ไม่สนใจ พิจารณาของในประเทศ ซึ่งที่ผ่านมามียานเกราะจากบริษัทภายในประเทศที่ให้เราไปทดสอบ เช่น พื้นที่ จ.ชายแดนใต้ และพื้นที่หน่วยพร้อมรบเคลื่อนที่เร็วในหลายพื้นที่ เรามีผลการทดสอบชัดเจน มีการรายงานชัดเจนถึงสิ่งบกพร่องต่างๆ ไปยังผู้ผลิตให้รับทราบ และผู้ผลิตก็จะนำไปพัฒนา แต่ต้องอาศัยกาลเวลาเดินไปด้วยกัน หากในอนาคตทำได้ดี ก็จะพิจารณายานรบภายในประเทศ เพราะมีเรื่องระบบอาวุธ ระบบการป้องกันวัตถุระบบ ระบบการขับเคลื่อน จึงไม่ใช่ว่าไม่อยากใช้”
ส่วนโครงการห้องปฏิบัติการ รร.นายร้อย จปร. มูลค่า 56 ล้านบาท ผบ.ทบ.ชี้แจงว่า เป็นนโยบายที่มอบให้กับทางส่วนการศึกษา รร.นายร้อย จปร. ภายหลังเราเห็นพัฒนาการของสงครามที่ยูเครน-รัสเซีย สงครามฮามาส-อิสราเอล เรามีนวัตกรรมที่จำเป็นทางการทหาร เช่น อากาศยานไร้คนขับ เครื่องมือต่อต้านอากาศยานไร้คนขับ และเทคโนโลยีอื่นๆ ซึ่งโครงการห้องปฏิบัติการ รร.นายร้อย จปร. ถือเป็นแหล่งต้นน้ำที่เรามีผู้มีความรู้ร่วมกันหลายส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และ อาจารย์ รร.นายร้อย จปร. ที่เกินครึ่งอยู่ในกองวิศวกรรม และเรามีกองวิศวกรรมสรรพาวุธ ที่คิดค้นนวัตกรรมต่างๆ และซ่อมบำรุงยานเกราะบางส่วนด้วย.