ศาลอาญาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี นปช. ปี 52 หลัง “อดิศร” อ้างติดประชุมสภา “พงศ์พิเชษฐ์” เบี้ยวไม่แจ้ง ศาลออกหมายจับ
ศาลอาญาเลื่อนอ่านคำพิพากษาคดี นปช. ปี 52 หลัง “อดิศร” อ้างติดประชุมสภา “พงศ์พิเชษฐ์” เบี้ยวไม่แจ้ง ศาลออกหมายจับ ขณะที่ “จตุพร-เหวง” หน้านิ่งขึ้นศาล ย้ำเคารพคำพิพากษา – คดีลากยาว 16 ปี ยังไม่จบง่ายๆ
ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 20 ส.ค. ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดี นปช.ก่อความไม่สงบ หมายเลขดำ อ.968/2561 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ หรือวีระ มุสิกพงศ์ อดีตประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (ปธ.นปช.), นายจตุพร พรหมพันธุ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, นพ.เหวง โตจิราการ, นายสิระ หรือสรวิชญ์ พิมพ์กลาง แกนนำคนเสื้อแดง จ.สกลนคร, นายนายณรงศักดิ์ มณี, นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไท, นายพิพัฒน์ชัย หรือสมชาย ไพบูลย์, นายพายัพ ปั้นเกตุ, นายพงศ์พิเชษฐ์ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง, นายอดิศร เพียงเกตุ, นายพีระ พริ้งกลาง (เสียชีวิต) และนายเมธี อมรวุฒิกุล เป็นจำเลยที่ 1-13 ในความผิด ฐานร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่10 คนขึ้นไป สร้างความกระด้างกระเดื่องก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง ,ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ พ.ศ.2548
กรณีเมื่อระหว่างวันที่ 31 ม.ค. -9 เม.ย. 52 จำเลยร่วมกันชุมนุมขับไล่รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ปิดทางเข้าออกทำเนียบรัฐบาล เพื่อขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของคณะรัฐมนตรีรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ รวมถึงมีผู้ชุมนุมบางส่วนบุกไปยังบ้านพัก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี(ขณะนั้น) เพื่อกดดันให้ พล.อ.เปรม พร้อมด้วย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ และนายชาญชัย ลิขิตจิตถะ ลาออกจากองคมนตรีรวมทั้งการปิดล้อมสถานที่ราชการหลายแห่งในกรุงเทพฯ จำเลยให้การปฏิเสธ และได้รับการประกันตัวคนละ 2 แสนบาท
สำหรับการฟังคำพิพากษาในวันนี้ จำเลยทั้งหมดได้เดินทางมาศาลโดยนายเมธี จำเลยที่ 13 ถูกนำตัวจากเรือนจำกลางคลองเปรม ส่วยจำเลยอื่นไม่ได้รวมกลุ่มนัดรวมตัวกันเพื่อขึ้นศาลเหมือนครั้งแรกที่ถูกดำเนินคดีในชั้นศาล โดยนายวีระกานต์สวมเสื้อ ซาฟารีสีเทาสีหน้าเรียบเฉย มีผู้ติดตามคอยเดินประคองและมาให้กำลังใจจำนวนหนึ่ง
ส่วน นพ.เหวงเดินทางมาพร้อม นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตแกนนำ นปช. ภรรยา มาให้กำลังใจ ทั้งนี้ นพ.เหวง ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนก่อนขึ้นฟังคำพิพากษาว่า วันนี้ตนไม่มีความเครียดหรือกังวลอะไร ส่วนคำพิพากษาจะเป็นคุณหรือเป็นโทษกับตนหรือไม่ ก็แล้วแต่พิจารณาของศาล เพราะเคารพศาลอยู่แล้ว ตนเชื่อมั่นในพยานหลักฐานว่าไม่ได้ทำอะไรผิด ขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของศาลในวันนี้
ด้านนายจตุพรเดินทางมาศาลพร้อมผู้ติดตาม 1 คน กล่าวว่า วันนี้เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องเข้ามาฟังคำพิพากษาของศาลในคดีเมื่อ 16 ปีก่อนไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรตนเคารพในคำพิพากษา ส่วนการกลับมาเจอแนวร่วมเดิมนั้น ตนไม่รู้สึกอะไรเพราะทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วง 16 ปีที่ผ่านมาถือเป็นประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนอะไรไม่ได้ ส่วนแนวทางทางการเมืองที่เปลี่ยนไปของแกนนำแต่ละคนจะสามารถพูดคุยกันได้หรือไม่นั้น ในวันนี้ตนถือว่าทุกคนเป็นจำเลยร่วมกันจะต้องนั่งร่วมในซีกของจำเลยอยู่แล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรที่ต้องพูดกับแกนนำรายอื่นเป็นพิเศษ และยืนยันว่าไม่มีเรื่องที่จะต้องทะเลาะกันเป็นการส่วนตัว
นายจตุพรกล่าวว่า สำหรับคดี ม.112 ของนายทักษิณ ชินวัตร ที่ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในวันที่ 22 ส.ค.นี้ ที่มีคนใกล้ชิดนายทักษิณมั่นใจว่าคดีนี้จะถูกยกฟ้องนั้น ตนมองว่าความมั่นใจกับข้อเท็จจริงเป็นคนละเรื่องกัน โดยเฉพาะตนที่ผ่านคดีความมากมายนั้นต่อให้มั่นใจอย่างไรแต่ผลลัพธ์สุดท้ายคือความจริงที่ปรากฏออกมา จึงเป็นธรรมดาของคนที่เป็นจำเลยย่อมมีความเชื่อมั่นในตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาล
เมื่อถึงเวลานัดศาลออกนั่งบัลลังก์ แต่ นายประกันของนายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย แจ้งต่อศาลว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการประชุมสภา ซึ่งนายอดิศรต้องเข้าร่วมประชุมจึงขอเลื่อนฟังคำพิพากษาออกไปก่อน 1 นัด ขณะที่นายพงศ์พิเชษฐ์ จำเลยที่ 10 รับทราบนัดแล้วแต่ไม่มาศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ศาลเห็นว่ามี พฤติการณ์จะหลบหนีให้ออกหมายจับ ปรับนายประกัน
ศาลมีคำสั่งให้เลื่อนไปฟังคำพิพากษาวันที่ 7 ต.ค. 68 เวลา 09.00 น. พร้อมทั่งกำชับให้จำเลยทุกคนมาศาลตามนัด หากจำเลยคนใดไม่มาศาล ศาลจะพิจารณาเพิกถอนการประกันตัวต่อไป