ปลุกกระแสตื่นตัวรับ CBAM ส่งออก 3 แสนล้านเร่งปรับตัวรับกฎเข้ม
ความท้าทายด้านสิ่งแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคอุตสาหกรรมไทย โดยปัจจุบันประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกปีละราว 350 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า และมากกว่า 75% มาจากภาคพลังงานและอุตสาหกรรม แม้สัดส่วนนี้คิดเป็นไม่ถึง 1% ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั่วโลก
แต่แรงกดดันจากมาตรการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (EU-CBAM) ที่เริ่มบังคับใช้แล้ว กับสินค้านำเข้า 6 กลุ่มแรก ได้แก่ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ปุ๋ย ซีเมนต์ ไฮโดรเจน และไฟฟ้า และจะขยายครอบคลุมสินค้าอื่นในอนาคต กำลังเป็นอุปสรรคสำคัญที่บีบให้ผู้ประกอบการไทย
รวมถึงภาครัฐต้องเร่งยกระดับมาตรฐานสิ่งแวดล้อม หากยังหวังที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันและยืนหยัดในตลาดโลกที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืน
สินเชื่อเปลี่ยนผ่าน 5 พันล้าน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า ส.อ.ท.ร่วมมือกับสมาคมธนาคารไทย สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของประเทศไทยสู่อุตสาหกรรมคาร์บอนต่ำอย่างเป็นรูปธรรม ผ่านการจัดตั้งกลไกสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน (Transition Finance) เฟสแรกกว่า 5,000 ล้านบาท เพื่อเสริมสร้างศักยภาพให้ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะกลุ่ม SMEs ในห่วงโซ่การส่งออก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม ให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวได้ง่ายขึ้น
รวมถึงเพื่อการลงทุนในเทคโนโลยีสะอาดและระบบการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากจะช่วยลดต้นทุนระยะยาว ยังเป็นการยกระดับศักยภาพการแข่งขันของอุตสาหกรรมไทยในตลาดโลก ที่ให้ความสำคัญกับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น
อย่างไรก็ดี ภาคอุตสาหกรรมซึ่งเป็นหนึ่งในภาคส่วนหลักที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง จะได้รับการสนับสนุนใน 2 มิติหลักจากสินเชื่อดังกล่าว คือ 1) การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ผ่านการส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด การปรับเปลี่ยนเครื่องจักรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และการใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและลดของเสีย 2) การปรับตัวเพื่อรับมือ (Adaptation) เช่น การออกแบบระบบการผลิตและโลจิสติกส์ให้มีความยืดหยุ่นและทนทานต่อภัยพิบัติ การจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน และการพัฒนาโครงการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกต้นไม้และกิจกรรมคาร์บอนเครดิต
สินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านภายใต้ความร่วมมือดังกล่าว จะไม่ใช่เพียงแค่แหล่งเงินทุนทั่วไป แต่ยังครอบคลุมถึงการให้คำปรึกษา การประเมินความเหมาะสมของโครงการ ตลอดจนการเชื่อมโยงกับกลไกตลาดคาร์บอนเครดิตและมาตรฐานสากล เพื่อสร้างความโปร่งใสและประสิทธิภาพสูงสุดในการใช้เงินทุน
“ถ้าเราจะไม่คิดที่จะทำสินค้าส่งออกไปขายต่างประเทศ อยู่เฉย ๆ ก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าเราต้องขายต่างประเทศ เราต้องปรับตัว ไม่อย่างนั้นเราจะขายของไม่ได้ วิกฤตที่เรากำลังเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชายแดน หรือการเจรจาภาษีกับทรัมป์ มันคือความร่วมมือที่นำไปสู่การทำงานจริงกับทางภาครัฐ” นายเกรียงไกรกล่าว
กระทบส่งออก 3 แสนล้าน
นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานสถาบันการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า แม้จะมีพระราชบัญญัติด้านสิ่งแวดล้อมเกิดที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ขณะเดียวกัน เรากำลังเผชิญแรงกดดันจากมาตรการสิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรการ EU-CBAM ซึ่งกระทบการส่งออกสินค้ามูลค่ากว่า 3 แสนล้านบาทต่อปี แม้สถานการณ์ภูมิรัฐศาสตร์จะทำให้บางอย่างล่าช้า แต่สุดท้ายมาตรการเหล่านี้จะถูกบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบ
ดังนั้น การเตรียมความพร้อมล่วงหน้าจึงจำเป็น เพราะการเปลี่ยนผ่านต้องใช้เวลา หลายประเทศได้พัฒนากลไกสนับสนุนสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่านที่ตอบโจทย์บริบทของตน เช่น ญี่ปุ่น มีแนวทาง Basic Guidelines on Climate Transition Finance สำหรับอุตสาหกรรมที่ยังใช้พลังงานดั้งเดิม แต่มีแผนลดคาร์บอนในระยะยาว สหภาพยุโรป มี EU Green Taxonomy ควบคู่ Just Transition Mechanism และสิงคโปร์ มี Green and Sustainability-Linked Loan Grant Scheme เพื่อเร่งการเข้าถึงสินเชื่อของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs
สำหรับประเทศไทย ความท้าทายสำคัญ คือ การขาดข้อมูลและการสนับสนุนทางเทคนิคที่เป็นระบบ ส่วนหนึ่งของภารกิจของสถาบัน คือ การสนับสนุนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะ SMEs ให้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง พัฒนาบัญชีคาร์บอน และปรับกระบวนการผลิตให้สอดคล้องกับเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero)
วันนี้เราทำหน้าที่เป็นกลไกกลางในการเชื่อมโยงภาคอุตสาหกรรมกับภาคการเงิน จัดหาสินเชื่อเพื่อการเปลี่ยนผ่าน และร่วมสนับสนุนการให้ข้อมูล บริการให้คำปรึกษา เพื่อขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมไทยสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม โดยความร่วมมือนี้นับเป็นต้นแบบของการบูรณาการความร่วมมือระหว่างภาคการเงินและภาคอุตสาหกรรม เพื่อเดินหน้าประเทศไทยสู่เป้าหมายการเป็นเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำที่มีความมั่นคงและแข่งขันได้ในระดับสากล
“เราเริ่มเข้าไปประเมิน SMEs เพื่อเก็บข้อมูลพื้นฐาน เพื่อให้รู้ว่าผ่านไป 2-3 ปี เขาลดไปได้เท่าไหร่ เช่น การเปลี่ยน Boiler มันมีต้นทุน เขาก็มาขอได้ แต่ต้องเป็นสมาชิกของ ส.อ.ท. เงื่อนไขที่กำหนด เราอยากให้อุตสาหกรรมอย่างโรงกลั่นทำ เราอยากเน้นที่ SMEs ที่ส่งออก เพราะเขาต้องโดนแน่ 3 ปีนับจากนี้” นายชัยวัฒน์กล่าว
แพลตฟอร์มคำนวณคาร์บอน
นายณกรณ์ ตรรกวิรพัท ผู้อำนวยการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) เปิดเผยว่า อบก.อยู่ระหว่างติดตามและเตรียมความพร้อมรับมาตรการ EU-CBAM อย่างใกล้ชิด ทั้งการศึกษารูปแบบและกฎเกณฑ์การรายงาน เพื่อให้ไทยสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดได้ทันเมื่อมีผลบังคับใช้เต็มรูปแบบ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มาตรการทางคาร์บอนยังเป็นเพียงมาตรการสนับสนุน แต่มาตรการทางภาษีส่งผลให้ต้นทุนของผู้ประกอบการพุ่งสูงขึ้น ดังนั้น การมีมาตรการคาร์บอนเข้ามาจะเป็นตัวช่วยเพิ่มรายได้และลดต้นทุน รวมถึงสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการ จึงเป็นสิ่งที่เราพยายามต้องผลักดันให้เกิดขึ้น
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับผู้ประกอบการไทยให้สามารถดำเนินงานได้สอดคล้องกับมาตรการ CBAM โดยเฉพาะการรายงานข้อมูลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า (Embedded Emissions) โดยจะคิดจากปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า ทั้งทางตรงกับทางอ้อมจากกระบวนการผลิตของสินค้า
ดังนั้น อบก.จึงได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์ม “CBAM-CFP Platform” ขึ้น สำหรับใช้เป็นระบบคำนวณปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสินค้า จะช่วยให้ผู้ประกอบการเตรียมพร้อมข้อมูล และมีความเข้าใจในการรายงานค่าดังกล่าวไปยังสหภาพยุโรป โดยแพลตฟอร์มได้รับการออกแบบให้การใช้งานได้ง่าย มีความถูกต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ CBAM โดยจะมีการเปิดใช้งานปลายปี 2568 นี้
“มาตรการคาร์บอนมีผลดี คือ ไม่ใช่มาตรการกีดกันทางการค้า ดังนั้นทุกประเทศทั่วโลกให้การยอมรับ โดยไม่มีอุปสรรคทางด้านภูมิรัฐศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้อง ทุกประเทศเลยหันมาปรับตัว ลดก๊าซเรือนกระจกและเปลี่ยนผ่านไปสู่ยุคคาร์บอนต่ำ”
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ปลุกกระแสตื่นตัวรับ CBAM ส่งออก 3 แสนล้านเร่งปรับตัวรับกฎเข้ม
ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net