เปิดนวัตกรรม “นอนกรน-หยุดหายใจขณะหลับ” กระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้นรักษา
พญ. ดารกุล พรศรีนิยม แพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยาและเวชศาสตร์การนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับเกิดจากการที่กล้ามเนื้อทางเดินหายใจส่วนต้นหย่อนตัวขณะหลับ ทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนและสมองต้องปลุกให้ตื่นขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ซึ่งไม่ได้ส่งผลกระทบแค่การนอนที่ไม่ดีเท่านั้น แต่ยังทำลายคุณภาพชีวิตในหลายด้าน
ทั้งทำให้รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงระหว่างวัน ประสิทธิภาพการทำงานและความจำลดลง รวมถึงส่งผลต่ออารมณ์ที่แปรปรวนง่าย อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงจากอุบัติเหตุ เช่น การหลับในขณะขับขี่ และอาจรบกวนความสัมพันธ์ในชีวิตคู่จากการกรนเสียงดังได้
ในระยะยาว โรคนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เช่น หัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว และโรคหลอดเลือดหัวใจนอกจากนี้ ยังเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง อัลไซเมอร์ในระยะยาว มะเร็งบางชนิด รวมถึงเพิ่มความเสื่อมสมรรถภาพทางเพศอีกด้วย
หากสังเกตว่ามีอาการ เช่น นอนกรนเสียงดังผิดปกติ มีอาการหายใจสะดุด หรือตื่นมาไม่สดชื่น ควรรีบเข้ารับการตรวจวินิจฉัยด้วย Sleep Test เพื่อประเมินระดับความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษาอย่างทันท่วงที ก่อนที่จะนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงในอนาคต”
ศ.นพ. ชัยรัตน์ นิรันตรัตน์ แพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก และโสต ศอ นาสิกวิทยาการนอนหลับ โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า การรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับมีหลายวิธี เช่น การใช้เครื่อง CPAP (Continuous Positive Airway Pressure) เป็นเครื่องอัดอากาศแรงดันบวกที่ช่วยดันลมเข้าไปเปิดหลอดลมให้กว้างออก เป็นวิธีหลักที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน แต่ยังมีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถทนใช้งานได้ในชีวิตประจำวัน เนื่องจากความรู้สึกอึดอัดจากการสวมหน้ากาก หรือมีข้อจำกัดอื่น ๆ
ด้วยเหตุนี้ HNS จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือก โดยการทำงานจากภายในร่างกาย ไม่ต้องสวมหน้ากากหรือเป่าลม ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกสบายตัวและไม่รบกวนการนอนหลับ
ด้าน นพ. วิชพันธ์ เหมรัญช์โรจน์ ศัลยแพทย์เฉพาะทางด้านโสต ศอ นาสิก การผ่าตัดเนื้องอกและมะเร็งศีรษะและคอ และการผ่าตัดไซนัส โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ กล่าวว่า การรักษาด้วยนวัตกรรมนี้ต้องอาศัยทีมแพทย์เฉพาะทางที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูง ซึ่งประกอบด้วยแพทย์เวชศาสตร์การนอนหลับ แพทย์ประสาทวิทยา ศัลยแพทย์โสต ศอ นาสิก และแพทย์วิสัญญีวิทยา ทำงานร่วมกับทีมงานสหสาขาวิชาชีพเฉพาะทางด้านเวชศาสตร์การนอนหลับและ Hypoglossal Nerve Stimulati
“การผ่าตัดรักษาด้วย HNS ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง โดยจะเริ่มจากการฝังอุปกรณ์ 3 ส่วนหลักใต้ผิวหนัง ได้แก่ ตัวกระตุ้น (Pulse Generator) บริเวณหน้าอกด้านบนข้างขวา สายตรวจจับลมหายใจ (Sensing Lead) บริเวณซี่โครง และสายกระตุ้น (Stimulation Lead) บริเวณเส้นประสาทใต้ลิ้น ด้วยแผลขนาดเล็กเพียง 2-5 เซนติเมตร ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับบ้านได้ภายใน 1 วัน ใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 2-4 สัปดาห์”
ทั้งนี้ โรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea: OSA) ไม่ได้เป็นเพียงปัญหาด้านการนอน แต่คือภัยเงียบที่คุกคามสุขภาพของผู้คนทั่วโลก จากข้อมูลวารสาร The Lancet Respiratory Medicine ปี ค.ศ. 2019 พบผู้ป่วยทั่วโลกสูงถึง 936 ล้านคน ในประเทศไทย ได้มีการประเมินว่าชายวัยกลางคนกว่า 20-30% และหญิง 10-15% อาจมีภาวะนี้โดยไม่รู้ตัว โรคนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตตั้งแต่ความอ่อนเพลียระหว่างวัน ไปจนถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง และเบาหวาน
การกระตุ้นเส้นประสาทใต้ลิ้น (Hypoglossal Nerve Stimulation: HNS) หรือ “Inspire” จะเข้ามาเป็นทางเลือกใหม่ในการรักษาโรคนอนกรนหยุดหายใจขณะหลับ ซี่งเป็นนวัตกรรมเพียงชนิดเดียวที่ได้รับการอนุมัติจากองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (FDA) เมื่อปี พ.ศ. 2557 แลลละถูกนำไปใช้รักษาผู้ป่วยทั่วโลกแล้วกว่า 1 แสนราย โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ยุโรป และประเทศชั้นนำในเอเชียอย่างญี่ปุ่นและสิงคโปร์ แสดงให้เห็นถึงการยอมรับในวงการแพทย์ทั่วโลก ทำให้มั่นใจได้ในเรื่องประสิทธิภาพและความปลอดภัย
สำหรับประเทศไทย นวัตกรรม HNS ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งประเทศไทย (อย.) เมื่อปี พ.ศ. 2567 และได้นำนวัตกรรมนี้มาใช้เป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2568 และปัจจุบันโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ได้รักษาผู้ป่วยสำเร็จและมีผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ