“พปชร.” ซัดรัฐบาลเป็ดง่อยจี้เปิดผลเจรจา “ภาษีสหรัฐฯ” แนะเปลี่ยนงบฯกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นงบฯพยุง หวั่น ศก.ไทยไม่ฟื้นตัว
วันที่ 7 ส.ค.2568 เวลา 09.30 น.ที่รัฐสภา นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ พร้อมทีมผู้บริหารพรรคแถลงข่าวเกี่ยวกับประเด็นผลได้-ผลเสียจากภาษีทรัมป์ 19% รวมถึงผลกระทบต่อสินค้าเกษตรและเกษตรกร จากการเจรจาภาษีสหรัฐฯ ว่า อัตราภาษีในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ 19% ทางพรรคไม่ติดใจ แต่ปัญหาเรื่องการนำเข้าสินค้า ซึ่งพบว่า มีรายการสินค้าประมาณ 11,000 รายการ ได้กำหนดอัตราภาษี 0% ตรงส่วนนี้คงครอบคลุมไปถึงสินค้าเกษตร สินค้าเกษตรแปรรูป ซึ่งส่งผลกระทบต่อเกษตรกรของไทย จากข้อมูล ราคาข้าวโพดที่ปลูกในไทย เทียบกับราคาข้าวโพดสหรัฐฯที่รวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย พบว่า ราคาข้าวโพดไทย เท่ากับ 1.5 เท่าของราคาข้าวโพดสหรัฐฯนำส่งถึงไทย หรือ ราคาเนื้อหมูไทยเมื่อเทียบราคาหมูสหรัฐฯ ที่รวมค่าขนส่งและค่าประกันภัย พบว่า ราคาเนื้อหมูไทยยังแพงกว่า 1 ใน 3 เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เห็นได้ชัดเจนว่า จะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างแน่นอน
นายธีระชัย กล่าวว่า จากที่ได้รับฟังจากนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง ระบุว่า กระบวนการที่จะคุ้มครองเกษตรกรไทยจะใช้ระบบโควตา โดยการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ จะให้โควตาเฉพาะในส่วนที่ไทยใช้ แต่เราไม่สามารถปลูกได้พอเพียง ส่วนเรื่องเนื้อหมู จะให้โควตา 1-2 % เท่านั้น ของปริมาณหมูที่มีการบริโภคในประเทศ อยากทราบว่าโควตาที่รัฐมนตรีคลังพูดถึงเหล่านี้เป็นโควตาในฝัน อยู่ในใจรัฐมนตรีคลัง หรือเป็นโควตาที่ได้เจรจาและได้ข้อตกลงจากทีมเจรจาของทรัมป์เรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้นจะต้องนำข้อมูลเสนอและอธิบายให้ประชาชนรับทราบว่า การเจรจายังไม่จบ วิธีที่จะปกป้องคุ้มครองเกษตรกรภายในประเทศโดยระบบโควตายังไม่ได้คุยกับสหรัฐ สหรัฐฯเขายังไม่พออกพอใจและแสดงความยอมรับอย่างเป็นทางการเลย
นายธีระชัย กล่าวว่า ในรัฐธรรมนูญมาตรา 178 บัญญัติให้รัฐบาลต้องนำเสนอเรื่องนี้ขอความเห็นจากรัฐสภาภายใน 60 วัน แต่ในขณะนี้รัฐบาลยังไม่มีการเสนอรายละเอียดใดๆมาเสนอต่อสภาฯให้รับทราบ พร้อมกับมองว่า รัฐบาลต้องนำเสนอมาตรการที่จะช่วยเหลือ เยียวยา ประชาชนและภาคเอกชนปรับตัวมาให้สภาฯได้พิจารณาด้วย สิ่งที่รัฐบาลต้องทำ หากไทยมีการเจรจาในรายละเอียดได้แค่ไหนก็ควรนำเสนอต่อสภาฯ ไม่ควรรอทีเดียวทั้งหมด เพราะจะให้สภาฯช่วยกันพิจารณาและเสนอข้อควรระวังต่อรัฐบาลได้ ในขณะนี้ต้องมีการปรับตัวใหญ่ที่เกิดขึ้นในประเทศ 2 เรื่อง คือ 1.เรื่องการนำเข้าสินค้าเกษตรในอัตราภาษี 0 % จะต้องนำเข้าโดยเสรี หรือ จะมีโควตา และหากโควตาไม่พอที่จะปกป้องคุ้มครองเกษตรกรไทย รัฐบาลจะมีงบประมาณเข้าไปดูแลเกษตรกรอย่างไร 2.ข้อขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา ส่งผลต่อเรื่องแรงงานกัมพูชาและการค้าขายตามแนวชายแดน จึงอยากเสนอให้รัฐบาลนำงบประมาณ 157,000 ล้านบาทที่ใช้ในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งพบว่า หลายโครงการยังไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน และเหลืองบประมาณอีกเพียง 25,000 ล้านบาท ที่จะใช้ดูแลเกษตรกรที่ได้รับผลกระทบจากภาษีทรัมป์และดูแลผลกระทบทางการค้าจากปัญหาไทย-กัมพูชา
“ผมอยากเสนอแนะให้รัฐบาลกลับไปทบทวน โครงการที่อนุมัติไปแล้ว และไม่เร่งด่วนจริง ผมว่า ควรจะรอไว้ก่อน และควรนำเงินเหล่านี้มาใช้เรื่องที่เร่งด่วนมากกว่า สรุปแล้ว เปลี่ยนงบจากกระตุ้นเศรษฐกิจ กลายเป็นงบพยุงเศรษฐกิจ เพราะไม่อย่างนั้น การฟื้นตัวของเราอาจจะกลายเป็นเข่าอ่อน ไม่มีใครพยุง”นายธีระชัย กล่าวและว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ได้เน้นย้ำว่า อย่าเอาเรื่องความมั่นคงเข้าไปแลกในการเจรจาการค้าเด็ดขาด เพราะหากทำเช่นนั้น จะเกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติ ตนจึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลออกมายืนยัน ข้อยุติในการเจรจาที่เกิดขึ้นไม่ได้มีการนำเรื่องความมั่นคงมาแลกเปลี่ยน
ด้านนายชัยมงคล กล่าวว่า พรรคพลังประชารัฐขอโอกาสในการชี้แจงและสอบถามถามถึงรัฐบาล กรณีภาษีสหรัฐฯ เป็นที่ทราบกันว่าไทยต้องเสียภาษีนำเข้า 19% ไม่ต่างจากประเทศในอาเซียน ยกเว้นลาวและเมียนมา ภาษีสหรัฐฯ ส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยเป็นอย่างยิ่งทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เราดีใจที่ประเทศไทยได้อัตราภาษี 19% แต่การได้มาเราอยากทราบข้อเท็จจริง อยากรู้เบื้องหลังซึ่ง พรรคพลังประชารัฐได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจน โดยพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคว่า กรณีการเจรจาภาษีต้องไม่เอาความมั่นคงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่หลังจากการเจรจากลับไม่มีการเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมาจากรัฐบาล ไม่ว่าจะกรณีการนำความมั่นคงเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไม่ หรือสินค้าส่งออกจากสหรัฐฯ ไทยอาจจะส่งผลกระทบอย่างยิ่งต่อภาคการเกษตร มีรายการสินค้าใดบ้างที่เราให้ 0% กับสหรัฐฯ เรื่องนี้รัฐบาลต้องรีบมาประกาศ และทำความเข้าใจกับประชาชน
นายชัยมงคล กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 178 กำหนดไว้ว่ารัฐบาลต้องนำเรื่องเข้าสู่สภาณเพื่อพิจารณาภายใน 60 วัน ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรเปิดเผยคือ ข้อเท็จจริงเพื่อให้ประชาชนและ สส.รับทราบ รัฐบาลควรโปร่งใส ไม่ใช่กระทำเพื่อจะรักษาอำนาจของรัฐบาลเพียงประการเดียว แต่ควรคำนึงถึงความเป็นอยู่ของประชาชน ซึ่งจะกระทบในวงกว้างด้วย พรรคพลังประชารัฐยืนยันว่า ทีมวิชาการได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ ภาษีสหรัฐฯ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อพี่น้องประชาชนในภาคเกษตรทั้งระยะสั้นและระยะยาว เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่เราจำเป็นต้องศึกษาร่วมกันและหาทางปกป้องผลประโยชน์ของคนในชาติ เราติดใจเรื่องความโปร่งใสของรัฐบาล อาจจะโพนทะนาว่า 19% คือความสำเร็จ
“ผมไม่เชื่อเพราะความสำเร็จครั้งนี้เกิดขึ้นจากโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่โทรหานายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี และนายฮุน มาเนต นายกฯกัมพูชา การเจรจาเราล้าหลังเพื่อน รัฐบาลจะมาตีกินไม่ได้ รัฐบาลต้องชี้แจงเหตุผลกับประชาชน ภาษีนำเข้า 0% กระทบกับครัวเรือนอย่างมาก วันนี้รัฐบาลอ่อนแอเปรียบเสมือนเป็ดง่อย ในสภาฯ และการบริหารราชการแผ่นดินก็มีปัญหา ส่วนบุคคลทั้งนายกฯ สส. และรัฐมนตรีก็กำลังจะมีปัญหา ฉะนั้นรัฐบาลไม่ควรสร้างมะเร็งร้ายให้แพร่ขยายไป ควรทำเพื่อประเทศชาติ ทำเพื่อประชาชนอย่างตรงไปตรงมา พรรคพลังประชารัฐขอเรียกร้องให้ทำเช่นนั้น”นายขัยมงคล กล่าว