พ่อลูกชินวัตรรอดยาก! คลิปเสียงลุง-ป่วยทิพย์
โฆษกเพื่อไทยยันไม่มีการคุยเรื่อง “แพทองธาร” ชิงลาออกก่อนศาลตัดสิน แต่บอกมี “ชัยเกษม” สานงานต่อได้ “แก้วสรร-ปริญญา” ชี้คดีคลิปเสียงรอดยาก ระบุชัดมติ 7:2 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เหมือนส่งซิกแล้ว ส่วนคดีชั้น 14 ต้องลุ้นว่าศาลฎีกาจะสั่งอย่างไร เพราะมติแพทยสภามัดชัดป่วยทิพย์
เมื่อวันที่ 10 ส.ค.2568 นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวว่า น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม จะชิงลาออกจากตำแหน่งก่อนศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดีคลิปเสียงที่เจรจากับสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ว่าภายในพรรคยังไม่มีการคุยกระแสข่าวนี้ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ การที่นายกฯ จะลาออกก่อนการตัดสิน ได้คุยกับ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกฯ ก็แจ้งว่าไม่มีเรื่องนี้
“เราคุยไว้ทุกทางออกที่จะเกิดขึ้น นายกฯ อยู่ต่อก็ทำงานไป แต่หากถูกศาลตัดสินผลจะเป็นอย่างไรเราก็ยอมรับคำตัดสิน แต่พรรคเพื่อไทย และนายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกฯ ลำดับที่ 3 สามารถนำนโยบายและงบประมาณในสภาดำเนินการต่อได้”
ด้านนายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เขียนบทความในรูปถาม-ตอบเรื่อง อุ๊งอิ๊งคุยฮุน เซน : เมื่อนางสีดายอมตามใจทศกัณฐ์ ตอนหนึ่งระบุว่า น.ส.แพทองธารชี้แจงเรื่องคลิปเสียงว่าเป็นเทคนิคการเจรจาที่ต้องพูดคุยกันแบบหลานขอลุงนั้น เรื่องข้อเท็จจริงมันชัดเจนไม่ยอมเอาข้อเสนอปิดด่านของกองทัพ เมื่อ 8 มิ.ย.เข้าที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ เมื่อพึ่งอำนาจนายกฯ ไม่ได้ ทหารเขาก็ต้องใช้อำนาจกฎอัยการศึกเข้าควบคุมด่านด้วยตนเอง จนทำให้ต้องแล่นมาขอลุงฮุน เซน ให้ช่วยเปิดด่านพร้อมกัน เพื่อกู้ภาพทรยศของรัฐบาล ความเป็นมาอย่างนี้ ข้อที่ว่าเป็นเรื่องเทคนิคการเจรจา ที่ปากต้องพาไปว่าทหารเป็นคนละพวกกับเรา เพื่อให้ลุงรู้สึกว่าหลานเป็นพวกเดียวกันนั้น จึงไม่เป็นความจริงทั้งสิ้น
“เมื่อทศกัณฐ์เข้ามาปล้ำนางสีดา นางสีดาต้องดิ้นสู้และจะผูกคอตาย เท่านั้น เธอจะไปเว้าวอน จูบลูบไล้มือทศกัณฐ์ ออดอ้อนว่าวันนี้เป็นวันไม่สะดวกให้มาวันหลัง แล้วจะตามใจทุกอย่างนั้นไม่ได้ มาตรฐานตามบทของพระแม่เจ้านั้นต้องบริสุทธิ์ผุดผ่องทุกอย่าง จะใช้มารยาสาไถยนั้นไม่ได้” นายแก้วสรรระบุ
นายแก้วสรรยังระบุว่า คำปฏิญาณตัวหน้าพระพักตร์ เมื่อเข้ารับตำแหน่งนายกฯ ระบุชัดเรื่องความซื่อสัตย์ต่อตำแหน่งหน้าที่นายกฯ น.ส.แพทองธารเข้ามามีหน้ามีที่ตรงนี้ ต้องตระหนักว่านี่ไม่ใช่ตำแหน่งซีอีโอบริษัทชินวัตรที่เป็นเจ้าของแล้วจะจัดการไปตามอำเภอใจได้ แต่ตำแหน่งนี้เป็นผู้นำของชาติ ต้องทำเพื่อประโยชน์ของประเทศ จะเห็นดินแดนของชาติเช่นปราสาทตาเมือนธมเป็นแค่ป่ารกร้างไม่ได้ ต้องเห็นทหารเป็นองค์กรของรัฐ ไม่ใช่ฝ่ายตรงข้าม หรือขี้ข้าบริษัทที่ต้องทำตามใจนักการเมืองไปเสียทุกอย่าง
ผศ.ดร.ปริญญา เทวานฤมิตรกุล อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์นิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึงทิศทางการวินิจฉัยคดี น.ส.แพทองธารว่า หลังครบกำหนดให้นายกฯ ส่งเอกสารคำชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาต่อศาล รธน.ไปแล้วเมื่อ 4 ส.ค.ที่ผ่านมา ศาลคงไม่ใช้เวลานาน เพราะข้อเท็จจริงมันน้อย ประเด็นข้อกฎหมายมันก็มีแนวคดีของนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เพราะโดนร้องประเด็นเดียวกันคือเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และการฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง โดยคดีของนายกฯ แพทองธาร คิดว่าศาลพิจารณาให้เร็วได้หรือช้าได้ อยู่ที่การลงมติของศาล รธน. ถ้าตุลาการศาล รธน.เสียงข้างมากเห็นว่ามีข้อเท็จจริงเพียงพอต่อการพิจารณาก็ลงมติได้เลย เพราะวิธีการตัดสินของศาล รธน.ไม่เหมือนกับศาลปกติ
เมื่อถามว่า คิดว่าคดีของสองพ่อลูกชินวัตร คดีใดจะส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า ทั้งสองคดีเลย มันไปด้วยกัน เพราะ น.ส.แพทองธารก็เป็นนายกฯ ถ้าพ้นตำแหน่ง ก็ต้องเลือกนายกฯ คนใหม่ แต่หากเห็นว่าโอกาสรอดมีน้อย ก็เป็นไปได้ที่จะบอกให้นายกฯ แพทองธารลาออก
“แนวทางปฏิบัติตามอำนาจศาล รธน.ดูแล้วรอดยาก เพราะดูจากมติของตุลาการศาลที่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่การเป็นนายกฯ 7 ต่อ 2 โดยในส่วนของ 2 เสียง ก็ไม่ได้ลงมติว่าไม่ให้หยุด แต่ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ในบางหน้าที่คือความมั่นคง การคลังและต่างประเทศ ซึ่งมันก็เกินครึ่งของอำนาจนายกฯ ไปแล้ว โอกาสที่จะได้ 5 เสียงของตุลาการที่บอกว่าจะพลิกกลับมาทำให้ไม่ต้องพ้นตำแหน่ง ต้องบอกว่าไม่ง่าย พูดสรุปเลยก็มีโอกาสมากที่จะมีนายกฯ คนใหม่ แต่จะมาด้วยการที่ศาลรัฐธรรมนูญปลดหรือว่านายกฯ แพทองธารชิงลาออกก่อนแค่นั้นเอง”
ถามความเห็นว่า คิดว่านายกฯ แพทองธารจะชิงลาออกก่อนหรือไม่ เพื่อเซฟตัวเอง ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า ต้องไปสัมภาษณ์คุณทักษิณ แต่คุณทักษิณก็คงที่เป็นคนแนวชอบดีล แม้ว่าคุณทักษิณจะไม่ยอมรับก็ตาม ซึ่งถ้าถามว่าวิธีไหนฉลาดกว่า ก็น่าจะเป็นชิงลงมือก่อน แต่เราก็ไม่ทราบได้ว่านายทักษิณจะมีเหตุผลอะไรในการตัดสินใจ แต่มองว่าโอกาสจะชิงลาออกก่อนน่าจะมีมากกว่า ต้องดูนายทักษิณว่าจะตัดสินใจด้วยเหตุผลใด เพราะบางครั้งนายทักษิณก็ตัดสินใจในทางที่เราไม่เข้าใจอยู่บ่อย
ผศ.ดร.ปริญญายังกล่าวถึงการไต่สวนเรื่องการรักษาตัวของนายทักษิณที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ศาลนัดฟังคำสั่งผลการไต่สวนวันที่ 9 ก.ย.ว่า แนวโน้มของคำสั่งพอคาดการณ์ได้ส่วนหนึ่ง เพราะการที่แพทยสภาลงมติว่ามีการให้ความเห็นทางการแพทย์ที่ไม่ตรงข้อเท็จจริง แล้วอธิบดีกรมราชทัณฑ์ไปอนุญาตให้รักษาตัวได้ต่อมันก็เป็นประเด็น และการที่นายทักษิณไม่อยู่ในเรือนจำตลอด 180 วัน ก็เป็นประเด็นว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ส่วนการที่นายวิษณุ เครืองาม อดีตรองนายกฯ ไปให้ศาลฎีกาฯ ไต่สวนแทนคุณทักษิณ คือนายทักษิณไม่ได้ไปเอง หรือการที่ศาลฎีกาฯ ไม่ได้มีการไต่สวนนายทักษิณ ความจริงแล้วนายทักษิณ ก็อาจต่อสู้ได้ว่าได้ใช้สิทธิตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ พ.ศ.2560 ตามมาตรา 55 และใช้สิทธิตามกฎกระทรวงว่าด้วยการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำที่ออกมาในปี พ.ศ.2563 ว่าตัวเองมีสิทธิรักษาตัวนอกเรือนจำจึงใช้สิทธิดังกล่าว แต่การอนุญาตหรือไม่ เป็นเรื่องของราชทัณฑ์ เมื่อมีการอนุญาต ผิดหรือถูกก็เป็นเรื่องของราชทัณฑ์ โดยบอกว่าเป็นผู้ป่วยที่สุจริต แต่ทีนี้ปรากฏว่าไม่เห็นข้อต่อสู้อะไรตรงนี้ การที่ศาลฎีกาฯ ไม่ได้เรียกนายทักษิณไปไต่สวน แปลว่าอะไร
ผศ.ดร.ปริญญากล่าวว่า หากศาลฎีกาฯ ไม่ไต่สวนอะไรเลย เพราะศาลเห็นว่ามีข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายเพียงพอแล้ว ศาลจะมีคำสั่งหรือคำพิพากษาได้เลย มันเป็นแบบนั้น ว่าเรื่องของการมีคำสั่งวินิจฉัยว่าการจำคุกหรือการไม่ปฏิบัติตามหมายจำคุกตลอด 180 วันมีความไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็เหลือลุ้นแค่เรื่องเดียวว่าศาลฎีกาฯ จะสั่งอย่างไร จะสั่งให้นายทักษิณกลับไปจำคุก หรือว่าถ้าเป็นอย่างนั้น กรมราชทัณฑ์จะสามารถใช้ระเบียบกรมราชทัณฑ์ว่าด้วยการกักขังนอกเรือนจำได้หรือไม่ ที่เป็นระเบียบกรมราชทัณฑ์ที่เพิ่งออกมาใหม่ ตรงนี้ต้องติดตามดู แต่พูดเร็วๆ ได้ว่าแนวโน้มไม่น่าจะเป็นคุณกับนายทักษิณเท่าใด
นายปริญญากล่าวต่อว่า ส่วนคดีที่ศาลอาญานัดฟังคำพิพากษาคดีที่นายทักษิณตกเป็นจำเลยในคดีมาตรา 112 วันที่ 22 ส.ค. แต่การที่นายทักษิณไปพูดก่อนหน้านี้ว่า หลังวันที่ 22 ส.ค.ก็หมดเรื่องแล้ว อันนี้ดูจะเป็นความมั่นใจแบบแปลกๆ ที่ก็ต้องรอฟังผลคำพิพากษาของศาลอาญาวันที่ 22 ส.ค.จะออกมาอย่างไร แต่ที่เห็นแล้วก็คือวันที่ 9 ก.ย. ที่แนวโน้มไม่น่าจะดีเท่าใดกับนายทักษิณ.