บราซิลโดนภาษีทรัมป์เท่าไร่กันแน่? เจาะลึกวิธีคิดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ
ทำเนียบขาวออกเอกสารเมื่อเช้าวันนี้ (1 ส.ค.68) ระบุว่าภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้าบราซิลอยู่ที่ 10% เท่านั้น ซึ่งสร้างความสับสนในหมู่นักวิเคราะห์ นักลงทุน และผู้ส่งออก-นำเข้าอย่างกว้างขวาง
แต่หากพิจารณาอย่างละเอียดจากคำอธิบายของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ และข้อมูลในคำสั่งบริหารฉบับล่าสุดเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568 จะพบว่าอัตราภาษี 10% ที่ปรากฏในเอกสารนั้น เป็นเพียง“อัตราภาษีตอบโต้” หรือ reciprocal rate ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้เท่านั้น ส่วน “ของจริง” คือคำสั่ง IEEPA (กฎหมายความมั่นคงเศรษฐกิจระหว่างประเทศ) ที่เพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าบราซิลอีก 40% ดังนั้นอัตราภาษีรวมที่สหรัฐฯ เรียกเก็บจากสินค้าบราซิลในปี 2568 คือ 50% เต็มๆ
การเรียกเก็บภาษีครั้งนี้นับเป็นการตั้งกำแพงภาษีที่สูงที่สุดในรอบปี และถือว่าสูงที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยเรียกเก็บกับประเทศคู่ค้ารายใดในปี 2568 โดยจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 6 สิงหาคม 2025 ซึ่งเดิมทีวางแผนจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม แต่มีการขยายระยะเวลาให้ธุรกิจได้เตรียมตัวอีกเล็กน้อย
อย่างไรก็ดี ยังมีข้อยกเว้นสำคัญที่ทำให้บางอุตสาหกรรมของบราซิลรอดพ้นจากภาษี 50% นี้ โดยกลุ่มที่ได้รับการยกเว้นและยังคงเสียภาษีเพียง 10% ได้แก่ เยื่อไม้ (wood pulp), ทองแดงและผลิตภัณฑ์จากทองแดง, ชิ้นส่วนอากาศยาน, แร่ธาตุและพลังงานบางชนิด, น้ำส้ม, ปุ๋ย และสินค้าเกษตรพิเศษอีกหลายรายการ โดยเฉพาะ “เยื่อไม้ยูคาลิปตัส” ที่บราซิลส่งออกมายังสหรัฐฯ กว่า 2.8 ล้านตันต่อปี และคิดเป็น 85% ของการนำเข้าประเภทนี้ในสหรัฐฯ จึงได้รับการยกเว้นเพื่อรักษาเสถียรภาพของห่วงโซ่อุปทาน
ในทางตรงกันข้าม สินค้าหลักอีกจำนวนมากกลับไม่โชคดีเช่นนั้น โดยเฉพาะสินค้าเกษตร เช่น ไขมันสัตว์ (tallow) ที่ 97% ของการส่งออกมุ่งตรงเข้าสหรัฐฯ, เนื้อวัว, กาแฟ, เอทานอล และผลไม้บางชนิด ล้วนโดนภาษีเต็มอัตรา 50% ทำให้สินค้ากลุ่มนี้เสียเปรียบในตลาดทันที และต้องเผชิญกับต้นทุนที่พุ่งสูงจนแข่งขันลำบาก
กรณีของ tallow นั้นเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุด เพราะช่วงครึ่งแรกของปี 2568 บราซิลส่งออกไขมันสัตว์ไปยังสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นถึง 59.3% โดยผู้ผลิตส่วนใหญ่มุ่งหวังว่าจะได้รับการยกเว้นภาษีในนาทีสุดท้าย ซึ่งสุดท้ายก็ไม่เกิดขึ้น สร้างแรงกระแทกในตลาดอย่างรุนแรง
เพื่อบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น สหรัฐฯ จึงมี “ช่วงผ่อนปรน” โดยสินค้าที่ขนส่งออกจากบราซิลก่อนวันที่ 5 สิงหาคม และถึงมือผู้บริโภคในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2568 จะยังคงเสียภาษีเพียง 10% เหมือนเดิม
ปฏิกิริยาในตลาดแตกต่างกันไปตามหมวดสินค้า อย่างเช่นในตลาดทองแดง ที่ในช่วงก่อนประกาศยกเว้น มีการเก็งกำไรจนราคาระหว่าง LME และ COMEX ห่างกันสูงถึง 2,500 ดอลลาร์ต่อตัน แต่เมื่อประกาศยกเว้นจริง ส่วนต่างก็ยุบลงทันทีถึง 90% แสดงให้เห็นว่าตลาดจับตาการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อย่างใกล้ชิด
ในเชิงกลยุทธ์ มาตรการภาษีนี้ถือเป็นหนึ่งใน “เครื่องมือ” ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้ในการปรับความสัมพันธ์ทางการค้าในยุคใหม่ โดยใช้รูปแบบ “ประกาศก่อน ปรับทีหลัง” เปิดทางเจรจาเป็นรายอุตสาหกรรม แทนการตั้งกำแพงแบบเหวี่ยงแหเหมือนในอดีต ซึ่งมีข้อดีคือช่วยลดแรงกระแทกในตลาด และเปิดช่องสำหรับภาคเอกชนได้แสดงความเห็นก่อนบังคับใช้จริง
อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในระยะยาวยังต้องจับตา เพราะนอกจากราคาสินค้าบางกลุ่มในสหรัฐฯ จะสูงขึ้นแล้ว ยังอาจเปิดช่องให้ประเทศคู่แข่งอื่น ๆ เข้ามาแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด เช่น การที่ประเทศในเอเชียหรือยุโรปอาจกลายเป็นปลายทางใหม่ของสินค้าเกษตรจากบราซิลที่เคยผูกพันกับตลาดอเมริกา
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่า ผู้ส่งออกบราซิลในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ อาจต้องใช้เวลา 6-12 เดือนในการปรับตัว เปลี่ยนเส้นทางการค้า หรือหาแหล่งบริโภคใหม่ ซึ่งในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้อาจก่อให้เกิดภาวะสินค้าล้นตลาดและราคาตกต่ำในประเทศต้นทาง
นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงที่รัฐบาลบราซิลจะใช้มาตรการตอบโต้ในลักษณะเดียวกันกับสินค้าสหรัฐฯ แม้จะยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนในขณะนี้