โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ต่างประเทศ

ภาษี 19% ดันไทยแข่งโลก นำเข้าเสรีแบบมีเงื่อนไข ปลดล็อกสหรัฐลงทุน

ประชาชาติธุรกิจ

อัพเดต 21 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 8 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เอกชน-ผู้ส่งออกเฮ ไทยได้ดีลภาษีสหรัฐ 19% ระดับเดียวกับเพื่อนบ้าน แถมต่ำกว่าเวียดนาม เผยช่วยพยุง “ส่งออก” แข่งขันตลาดโลกได้ ทั้งมีโอกาสดึงดูดลงทุนต่างชาติเพิ่ม “พิชัย ชุณหวชิร” แจงเปิดเสรีภาษี 0% สินค้าเกษตรให้สหรัฐ “ข้าวโพด-เนื้อหมู-ปลานิล” มีมาตรการดูแลผลกระทบชัดเจน เผยสินค้าสวมสิทธิเจอ 40% เดินหน้าปลดล็อกอุปสรรคการลงทุนสหรัฐ ควบคู่แผนปรับโครงสร้างอุตสาหกรรมไทย เพิ่มซัพพลายเชนให้เป็นของไทย พิพัฒน์-KKP เผยสถานการณ์ตอนนี้ที่น่าห่วงกว่าส่งออกคือ “ท่องเที่ยว” รัฐบาลสั่งทูตพาณิชย์เจรจาหาตลาดอื่นนอกสหรัฐ

ครม.รับทราบดีลภาษี 19%

ที่ทำเนียบรัฐบาล มีการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นัดพิเศษ วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เพื่อรับมือการที่สหรัฐประกาศอัตราภาษีนำเข้า 19% โดยมีนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม

โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง แถลงว่า เรื่องภาษีนำเข้าสหรัฐ 19% ได้มีการนำเสนอเหล่านี้ให้ที่ประชุม ครม.รับทราบ ซึ่งเป็นข้อตกลงยังไม่มีข้อผูกพัน จากนั้นจะนำข้อตกลงกรอบใหญ่ ๆ นี้ไปเจรจาในรายละเอียดกับสหรัฐต่อไป ซึ่งการเจรจาครั้งนี้เพิ่งเป็นแค่ครั้งที่ 1 ในการตกลง หลังจากนั้นจะลงรายละเอียดในเร็ววัน ทางสหรัฐแจ้งว่าอยากจะหารือต่อทันที โดยเรื่องสำคัญคือ Rule of Origin จะต้องมีการตกลงกันว่า กติกาคืออะไร รายละเอียดเยอะ คงต้องทำให้เร็วที่สุด

สินค้าสวมสิทธิเจอ 40%

นายพิชัยเปิดเผยว่า การที่ไทยได้ดีลภาษี 19% ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนที่ทำให้ไทยสามารถวางแผนดำเนินนโยบายต่าง ๆ ได้ต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ยังมีอีกมากที่ไทยต้องเร่งดำเนินการ ทั้งในเชิงเทคนิค ข้อกฎหมาย และมาตรการภายในประเทศ เพื่อให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์สูงสุดจากความร่วมมือครั้งนี้ ขณะที่กรณีสินค้า “สวมสิทธิ” จะโดนภาษี 40%

อย่างไรก็ดี สินค้าที่ส่งออกจากไทยก่อนวันที่ 7 ส.ค. ยังคงถูกเก็บภาษี 10% แต่ถ้าออกจากเมืองไทยหลังวันที่ 7 ส.ค.จะถูกเก็บ 19% สำหรับขั้นตอนต่อไปจะเสนอต่อที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)

นายพิชัยกล่าวว่า การหารือกับสหรัฐไม่ได้มีแค่อัตราภาษีอย่างเดียว หลักใหญ่ ได้แก่ 1.เรื่องอัตราภาษีที่กำหนดให้สินค้าไทย หรือสินค้าสหรัฐที่ไทยนำเข้า 2.สิ่งที่ไทยจะนำเข้าจากสหรัฐ และสิ่งที่สหรัฐจะนำเข้าจากไทย 3.แผนการลงทุนของไทยในสหรัฐ และของสหรัฐในไทย 4.มาตรการที่ไม่ใช่ภาษี (Nontariffs) เราต้องเจรจาอย่างรอบคอบ เพราะบางเรื่องไม่ใช่แค่ตัวเลข เช่น วิธีปฏิบัติ ขั้นตอนต่าง ๆ

เปิดเสรีสินค้าสหรัฐ 0%

นายพิชัยกล่าวยอมรับว่า การเปิดเสรีหรือให้อัตราภาษี 0% กับสินค้าจากสหรัฐมากขึ้นเป็นหมื่นรายการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายการที่เปิดเสรีให้ประเทศอื่น ๆ อยู่แล้ว อาทิ จีน ออสเตรเลีย รวมถึงประเทศอื่น ๆ เพียงแต่ที่ผ่านมายังไม่ได้เปิดให้สหรัฐ ขณะเดียวกันก็มีบางรายการที่เป็นสินค้าที่สหรัฐไม่มีส่งออกอยู่แล้ว ก็เสนอให้ไป เพื่อให้เห็นว่าไทยเปิดให้หลายรายการมากขึ้นซึ่งการเปิดให้สหรัฐ ก็เป็นการเพิ่มผู้เล่นเข้ามาแข่งขันมากขึ้นอีกราย

โดยรายการที่เปิดให้มี 3 กลุ่ม คือ 1.สินค้าที่ไม่มีผลิตในไทย ตรงนี้ไม่มีปัญหา 2.สินค้าที่ไทยผลิตได้แต่ไม่เพียงพอ ต้นทุนสหรัฐถูกกว่าจะกระทบผู้ผลิตในประเทศ ดังนั้นจึงมีเงื่อนไขที่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ด้วย และ 3.สินค้าที่มีในประเทศไทย สหรัฐอาจจะไม่มีการส่งออก แต่เราก็เสนอให้เข้ามาได้ เช่น ลำไย เป็นต้น เพื่อให้ดูว่าประเทศไทยเสนอรายการที่มากขึ้น รวมถึงกรณี ปลานิล ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่ที่สหรัฐส่งออกจะเป็นแปรรูป และราคาสูงกว่าของไทยมาก ซึ่งเปิดตลาดไปก็เชื่อว่าสหรัฐคงไม่ส่งเข้ามา ยืนยันว่าคนเลี้ยงไม่ต้องกลัว

จัดระบบโควตานำเข้า

อย่างไรก็ตาม สินค้าจากสหรัฐได้รับภาษีนำเข้าเป็น 0% จะเกิดผลต่อเมื่อเราได้ผ่านกระบวนการพิจารณาของสภา โดยสินค้าสหรัฐไม่ได้ 0% ทันที มีบางชนิดที่ 0% ทันที คือสินค้าแบบเดียวกับสินค้าของประเทศที่มีการเจรจาเอฟทีเอ ซึ่งเราก็พร้อมที่จะให้สหรัฐเป็น 0% อยู่แล้ว ส่วนที่ยังไม่มีความพร้อมก็มีช่วงเวลากำหนด อีกประเภทหนึ่งคือเข้ามาได้อาจ 0% หรือไม่ 0% ก็ได้ แต่ขอจำกัดปริมาณไว้เท่าที่จำเป็น

“สินค้าหลายตัวที่เราให้ 0% บางตัวก็มีการขอเวลา เช่น ขอเวลาปรับตัว 5 ปี ก่อนเป็น 0% เพราะสินค้าบางอย่างไทยผลิตได้บางส่วน ต้องนำเข้าบางส่วนถ้าปล่อยเข้าเสรีเลย คงไม่ได้ ก็เจรจาขอเป็นโควตา ไม่ให้เข้ามาเกินที่เราต้องการ ก็บริหารจัดการนำเข้ามาเท่านั้น”

นายพิชัยกล่าวว่า กรณีเปิดให้นำเข้าข้าวโพดสหรัฐ ประเด็นนี้มีการพูดคุยกับผู้ผลิตอาหารสัตว์รายใหญ่แล้วว่า ข้าวโพดในประเทศไม่เพียงพอกับความต้องการ โดยหากนำเข้าเพิ่มได้ ผู้ประกอบการจะเพิ่มกำลังการผลิตได้อีก 30% ตรงนี้มีช่องว่างและผู้ประกอบการไทยครองตลาดอยู่

ปัจจุบันข้าวโพดในประเทศผลิตได้ประมาณ 5 ล้านตัน ขณะที่ความต้องการใช้ 10 ล้านตัน โดยก็มีการนำเข้าจากเมียนมา ลาว กัมพูชา การเปิดให้นำเข้าข้าวโพดสหรัฐซึ่งมีราคาถูกกว่าในประเทศนั้นจะไม่กระทบเกษตรกรในประเทศ เพราะจะใช้ระบบโควตา ไม่ใช่นำเข้าอย่างเสรี โดยการนำเข้าจากเพื่อนบ้านก็อาจจะลดลงบางส่วน ซึ่งไทยก็ไม่อยากรับซื้อเพราะมีการเผาไร่สร้าง PM 2.5

ยันไม่นำเข้าเครื่องในหมู

ส่วนเนื้อหมู เปิดนำเข้าแต่กำหนดกฎเกณฑ์และมาตรการทำให้นำเข้ามายาก เพราะจะกระทบเกษตรกรผู้เลี้ยงจำนวนมาก ซึ่งอาจจะเปิดให้นำเข้าแค่ 1% หรือไม่ถึง 1% จากที่คนไทยบริโภค 100% ขณะเดียวกันก็ต้องตรวจที่มาของหมูด้วย

“กรณีเนื้อหมู คือจะเปิดนำเข้ามาต่ำมาก ๆ จากเดิมเราไม่ได้เปิด ถ้าอยากจะเปิดก็ให้ลองตลาดก่อน ว่าจะมีคนซื้อไหม ส่วนเครื่องในหมู เราไม่เปิดให้แน่นอน ไม่ยอม” นายพิชัยกล่าว

ขณะที่ในส่วนสินค้าพลังงาน กับปิโตรเคมีก็จะโฟกัสซื้อจากสหรัฐมากขึ้น จากปกติที่ซื้อจากทั่วโลกอยู่แล้ว ส่วนเครื่องบินก็เป็นสิ่งที่ประเทศไทยต้องการอยู่แล้ว โดยทางสายการบินแห่งชาติ ต้องการซื้อโบอิ้ง ก็จะทยอยซื้อใน 5-10 ปีประมาณ 100 ลำ

ปลดล็อกอุปสรรคการค้า

นายพิชัยกล่าวอีกว่า อีกประเด็นสำคัญที่สหรัฐต้องแก้อุปสรรคทางการค้าที่ไม่ใช่ภาษี ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเทศไทยต้องทำอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน โดยยอมรับว่าที่เจรจายาก เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับอัตราภาษี

ส่วนมาตรการป้องกันสินค้าสวมสิทธิ ยังต้องเจรจากันต่อไปเรื่องสัดส่วนว่าต้องผลิตในประเทศกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อว่าต้องมากกว่า 40% แน่นอน และอาจถึง 60% กำลังเจรจากันอยู่ โดยหากสินค้าเข้าเกณฑ์สวมสิทธิก็จะโดนภาษี 40% จะใช้เกณฑ์เดียวกันทั่วโลกเหมือนเวียดนาม

“วันนี้ผมบอกให้กรมศุลกากรไทย กับกรมศุลฯสหรัฐร่วมมือกันตรวจสอบว่า สินค้าที่เข้าข่ายสวมสิทธิมีใครบ้าง อยู่ที่ไหน อย่างไร แล้วก็กำหนดกฎเกณฑ์ ซึ่งผู้ส่งออกต้องมีเอกสารแสดงต้นกำเนิดสินค้า โดยจะเข้มงวดเรื่องการออกใบรับรอง ต้องมีขอตรวจโรงงาน แล้วการขออนุญาตต้องมาที่กระทรวงพาณิชย์ จากเดิมที่ออกได้ทั่วประเทศ เชื่อว่าสินค้าสวมสิทธิจะหายไปอย่างมีนัยสำคัญ”

โอกาสเปลี่ยนโครงสร้าง ศก.

นายพิชัยกล่าวด้วยว่า ในแง่การขยายตัวของเศรษฐกิจนั้น ถือว่าไทยยังรักษาความไม่เสียเปรียบไว้ได้ มีสะดุดช่วง 3-4 เดือน ซึ่งต้องดูภายใต้โครงสร้างเศรษฐกิจเดิมที่รอการเปลี่ยนแปลงว่าจะทำได้ดีแค่ไหน

แต่เดิมเคยประเมินว่าศักยภาพเศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ประมาณ 3% ซึ่งทำได้ระดับนี้มาหลายไตรมาส ส่วนระยะยาวขึ้นกับว่าจะปรับเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ได้แค่ไหน

“ตอนที่ยังไม่รู้ว่าจะถูกเก็บภาษี 19% ก็ประเมินปีนี้ทั้งปีจะโตได้ 2.2% แต่ส่วนตัวมองว่าถ้ามีแผนปรับชัดเจน เดินไปข้างหน้าชัดเจน ซึ่งจริง ๆ ไม่มีทรัมป์ก็ต้องทำ เพราะประเทศไทยมีปัญหาเชิงโครงสร้าง ทำให้คนมาลงทุนไม่สะดวก การลงทุนช่วง 20 ปีต่ำลงไปมาก แค่ 20% ของจีดีพี ควรจะ 30-35% ก็ต้องทำให้เกิดการลงทุนให้ได้ ความสะดวกต้องไหลลื่น แล้วก็เปลี่ยนการลงทุนประเภทใหม่เข้ามา และเพิ่มซัพพลายเชนให้เป็นของไทยมากขึ้น” นายพิชัยกล่าว

ไม่เสียเปรียบ-เร่งดึงดูดการลงทุน

ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) กล่าวถึงกรณีสหรัฐเก็บภาษีไทย 19% ว่า ประเด็นแรกคือ อัตราภาษีที่ออกมาถือว่าดีกว่าคาด อย่างน้อยก็สอดคล้องกับประเทศอื่นในภูมิภาค คือ ไทยไม่ได้เสียเปรียบการแข่งขัน ทำให้ความกังวลที่ว่า การลงทุน (FDI) จะหาย หรือส่งออกไปสหรัฐแล้วเสียเปรียบ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่ได้เสียเปรียบ ซึ่งหลังจากนี้ไทยคงต้องเร่งดึงดูดการลงทุน เร่งเรื่องความสามารถในการแข่งขัน

2.สินค้าสวมสิทธิถูกเก็บอัตรา 40% หลังจากนี้คงมีเกณฑ์รายละเอียดออกมา ซึ่งสินค้าไทยก็ถือว่าค่อนข้างมากที่ถูกสงสัยว่าจะสวมสิทธิ ดังนั้นต้องระมัดระวังไม่เช่นนั้นจะโดน 40%

3.ยังไม่รู้ว่าประเทศไทยเอาอะไรไปแลกบ้าง ซึ่งต้องรอฟัง นายพิชัย ชุณหวชิร ชี้แจงในรายละเอียดว่าไทยเปิดตลาดอะไรให้สหรัฐบ้าง บางรายการอาจส่งผลดี เช่น สินค้าเกษตร วัตถุดิบอาจจะถูกลง ทำให้บางอุตสาหกรรม เช่น อาหารสัตว์ จะมีศักยภาพมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันก็อาจจะกระทบกับเกษตรกรในประเทศ ก็ต้องหาวิธีดูแล

“ในภาพรวมขจัดความไม่แน่นอนออกไปได้มาก แต่ทั้งนี้ ภาษี 19% ก็สูงกว่าเดิม เพราะเดิมคือ 0% ดังนั้นจะกระทบในแง่ดีมานด์ต่าง ๆ อยู่แล้ว”

ผลกระทบจีดีพีไม่มาก

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า นอกจากนี้ เมื่อเดือน เม.ย. 2568 สหรัฐมีประกาศยกเว้นภาษีสมาร์ทโฟน อิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดดิสก์ คอมพิวเตอร์ ซึ่งไทยส่งออกฮาร์ดดิสก์ไปสหรัฐจำนวนมาก ทำให้อยู่ในลิสต์ที่ได้รับยกเว้นภาษี หากนับส่วนนี้ทั้งหมดมีสัดส่วนราว 30% ของการส่งออกไทย ถือว่าไทยได้รับประโยชน์หากเอาลิสต์นี้ออก

“ผลกระทบต่อจีดีพี ผมว่าไม่น่าจะลบมาก เพราะภาษีที่ออกมามองเป็นกรณีที่ดี โดยมองว่าปีนี้จีดีพีไทยจะโต 1.6% ปีหน้า 1.5% เพราะผลกระทบจะเห็นชัดในปลายปีนี้ต่อเนื่องไปถึงต้นปีหน้า”

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า ตอนนี้ปัจจัยที่จะกระทบเศรษฐกิจไทยมากกว่าส่งออก ก็คือท่องเที่ยวที่ชะลอ จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติกังวลเรื่องความปลอดภัย ขณะที่ส่งออกครึ่งปีแรกขยายตัวดี จากการเร่งส่งออกก่อนเจอภาษี แต่ครึ่งปีหลังส่งออกจะชะลอ โดยน่าจะติดลบ

“ผมห่วงเรื่องโมเมนตัมท่องเที่ยวมากกว่า เพราะกระทบเศรษฐกิจไทยมากกว่า ซึ่งก็ต้องกลับไปเคลียร์ประเด็นที่นักท่องเที่ยวกังวลกัน อย่างเคสที่มียิงกันที่ตลาด อ.ต.ก. กรณีนี้คนจีนก็กลัวมาก เพราะเป็นย่านที่นักท่องเที่ยวจีนนิยมไป”

เก็ง กนง.ลดดอกเบี้ยรอบหน้า

ดร.พิพัฒน์กล่าวว่า แม้ว่าเรื่องภาษีที่ออกมาจะดูเป็นข่าวดี แต่ก็คือดีจากกรณีเลวร้ายสุด ดังนั้น คงไม่ได้มีโมเมนตัมทำให้เศรษฐกิจกลับมาโตได้ดี เพราะตัวชี้วัดต่าง ๆ ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) โชว์ให้ดู ก็ยังเห็นการชะลอตัวต่อเนื่อง ดังนั้นนโยบายการเงินก็ต้องเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ทั้งเรื่องแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือน ปัญหาแบงก์ไม่ปล่อยกู้ ส่วนคลังก็ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเจาะจงกลุ่มเป้าหมายต่อไป โดยต้องเร่งเบิกจ่าย และมองในระยะข้างหน้าด้วย

“ดอกเบี้ย เชื่อว่าก็คงต้องลด แต่ลดดอกเบี้ยอย่างเดียวไม่ได้ช่วยอะไร ต้องโฟกัสที่กลไกการส่งผ่านด้วย คือลดไป ถ้าแบงก์ลดน้อยกว่า หรือแบงก์ไม่ปล่อยกู้ ก็ไม่ได้ช่วยอะไร อย่างไรก็ดี ดูจากผลกระทบต่าง ๆ แล้วคิดว่า การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) รอบที่จะถึงนี้ น่าจะมีการลดดอกเบี้ย”

ลุ้นภาษีบีบสหรัฐกินบะหมี่เพิ่ม

นายพันธ์ พะเนียงเวทย์ ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TFMAMA ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า ฉายภาพว่า อัตราภาษีนำเข้าที่ 19% นี้ จะไม่กระทบศักยภาพการแข่งขันของมาม่า ในตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปของสหรัฐ เนื่องจากบรรดาประเทศผู้ส่งออกบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปต่างถูกเก็บภาษีในอัตราใกล้เคียงกัน และแม้บางแบรนด์จะมีโรงงานในสหรัฐ แต่ยังต้องนำเข้าวัตถุดิบ เช่น เครื่องปรุง ทำให้ทั้งแบรนด์ที่นำเข้าและผลิตในสหรัฐต้องปรับราคาขึ้นในระดับใกล้เคียงกัน

ขณะเดียวกัน มาตรการภาษีอาจกลายเป็นปัจจัยบวกดันให้ดีมานด์บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปสูงขึ้น เนื่องจากทำให้สินค้าอาหารประเภทอื่น ๆ ในสหรัฐแพงขึ้นด้วยเช่นกัน จึงมีความเป็นไปได้สูงที่ผู้บริโภคจะหันมาเลือกซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งแม้จะขึ้นราคาแล้ว แต่ยังจับต้องง่ายกว่าแทน

ด้านทิศทางของไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ยังไม่จำเป็นต้องปรับแผนเนื่องจากอัตราภาษี 19% นี้อยู่ในระดับที่บริษัทและคู่ค้าในสหรัฐคาดการณ์ไว้แล้ว จึงไม่ต้องมีการปรับราคาสั่งซื้ออีก โดยสินค้ายอดนิยมยังคงเป็นรสไก่, หมูสับ และต้มยำกุ้ง

“จตุพร” สั่งพาณิชย์รับมือ

นายจตุพร บุรุษพัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การประกาศอัตราภาษีใหม่ของสหรัฐ ส่งผลต่อการส่งออก โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายเล็ก เพื่อบรรเทาผลกระทบ กระทรวงจัดตั้ง ศูนย์ให้คำปรึกษาแบบ One Stop Service ให้ผู้ประกอบการสามารถเข้ารับคำแนะนำ ปรึกษา และหาทางออกได้ในที่เดียว และจะมีการวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบต่อไป และเร่งเปิดตลาดใหม่ผลักดันการเจรจาเขตการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าอื่น ๆ และสั่งการให้ทูตพาณิชย์เร่งการเจรจาเปิดตลาดใหม่

“สิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับตัวของผู้ประกอบการ เพราะสถานการณ์การค้าโลกไม่ได้ขึ้นอยู่แค่เรื่องภาษีของสหรัฐ แต่ยังเกี่ยวข้องกับปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และมาตรการสิ่งแวดล้อม เช่น CBAM ของสหภาพยุโรป ยังมั่นใจว่าการส่งออกปีนี้ขยายตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ 2-3%” นายจตุพรกล่าว

ส.อ.ท. รับได้ไม่เสียเปรียบ

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า อัตราภาษีใหม่อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ไม่มีใครได้เปรียบหรือเสียเปรียบจนเกินไป สินค้าไทยยังแข่งขันได้ดี แต่สินค้ากลุ่มที่มี Margin ต่ำไม่ถึง 10% จำเป็นต้องลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตส่วนสินค้ามี Margin สูงอยู่แล้วอาจจะไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

ส.อ.ท.จะเดินหน้าทำงานเชิงรุกต่อเนื่อง โดยมุ่งดำเนินการใน 3 แนวทางหลัก คือ 1.จับมือภาครัฐ ดันมาตรการลดผลกระทบเชิงนโยบาย เช่น อำนวยความสะดวกด้านภาษี ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุน เพราะต้นทุนการส่งออกเพิ่มสูงขึ้น ผลักดันการเจรจาการค้าเพิ่มเติม 2.ยกระดับศักยภาพผู้ประกอบการสนับสนุนองค์ความรู้ นวัตกรรมและเทคโนโลยีชั้นสูง 3.ขยายตลาดและเครือข่ายการค้าใหม่ นอกเหนือจากสหรัฐ

ไทม์ไลน์วันส่งออก-ภาษีใหม่

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ขอชื่นชม “ทีมไทยแลนด์” ที่สามารถรักษาอัตราภาษีให้อยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับในภูมิภาคอาเซียนได้ แต่ยังมีสิ่งสำคัญที่จำเป็นต้องดำเนินการต่อเนื่อง

หอการค้าได้มีข้อสังเกตเพิ่มเติม อาทิ เรื่องดุลการค้าระหว่างไทย-สหรัฐ การกระตุ้นการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ รวมถึงส่งเสริมการลงทุนจากไทยไปยังสหรัฐ จะช่วยสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจ และลดแรงกดดันทางการเมืองการค้าในระยะยาว รัฐและเอกชนควรนำเข้าสินค้าเพิ่มเติมและการลงทุน เพื่อให้กระทบ Supply Chain ในประเทศให้น้อยที่สุด

สินค้าไทยบางส่วนอาจถูกจับตาในเรื่องของการ Transshipment หรือการส่งต่อสินค้าผ่านประเทศที่สาม ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ทั้งยังมีสินค้าบางกลุ่ม ที่อาจต้องเผชิญกับภาษีเพิ่มเติมถึง 40% ในบางรายการ ดังนั้น ความชัดเจนในสัดส่วนของ RVC (Regional Value Content) ต้องเจรจาลงในรายละเอียด

ทูน่า-อาหารสัตว์ ลุยส่งออก

นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมทูน่าไทย หรือ TTIA นายกสมาคมการค้าอาหารสัตว์เลี้ยงไทย (Thai Pet Food Trade Association : TPFA) เปิดเผยกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า อัตราภาษี 19% ทำให้ผู้ส่งออกพร้อมเดินหน้าส่งออกกลุ่มอาหารทะเล กระป๋อง ทูน่า อาหารสัตว์เลี้ยงได้ทันที สินค้าในกลุ่มนี้ไทยมีศักยภาพและเป็นผู้ส่งออกอันดับ 1 และ 2 ของโลก ซึ่งในภูมิภาคนี้เราไม่มีคู่แข่ง อัตราภาษีนี้ทำให้ไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐได้ดีขึ้นไม่กลัวการแข่งขัน

“แต่สินค้าไทยก็จะแพงขึ้น คาดว่าทั้งปีการส่งออกกลุ่มปลาทูน่าโตได้ 10% และอาหารสัตว์เลี้ยงโตได้ 10-15% เชื่อว่าการส่งออกจะไปได้ดี สำหรับตลาดสหรัฐซึ่งไทยส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยง 25% ทูน่า 20% การทำตลาดสหรัฐต้องรักษาตลาดไว้”

CPF-ไทยยูเนี่ยนเฮ

นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป ยินดีอย่างยิ่งที่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกับรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในอัตราใกล้เคียงกับประเทศในภูมิภาค เชื่อว่าการส่งออกของไทยจะสามารถรักษาขีดความสามารถทางการแข่งขันไว้ได้ และมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออกเพิ่มมากขึ้น

ด้านนายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร CPF หรือบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) ที่ ชื่นชมความมุ่งมั่นและความทุ่มเทของทีมไทยแลนด์ ที่ได้อัตราภาษี 19% พร้อมเงื่อนไขต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อศักยภาพในการแข่งขันของประเทศ มีแนวทางในการดำเนินการเพื่อดูแลอุตสาหกรรมของไทยให้มีการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ภาษี 19% ดันไทยแข่งโลก นำเข้าเสรีแบบมีเงื่อนไข ปลดล็อกสหรัฐลงทุน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ทุกวัน ที่นี่
– Website : https://www.prachachat.net

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ประชาชาติธุรกิจ

พิพากษาการเมือง ‘ชินวัตร’ เพื่อไทยซุ่มทำ ‘แคมเปญแจก’ ก่อนยุบสภา

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

SCGD ยกเวียดนามฮับส่งออก เสนาปรับ 720 องศาฝ่าวิกฤต

4 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ผลงาน 2 ปี รัฐบาลเพื่อไทย ปิดดีลภาษีทรัมป์ ดึงลงทุน แก้หนี้-แก้จน

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ภาษีทรัมป์ 19% ยังไม่จบ

5 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความต่างประเทศอื่น ๆ

ชายมะกันขับรถตกผา รอดชีวิตเพราะสุนัข ช่วยนำทาง ต้องคลานลงเขา 11 ชม.

Khaosod

'กาแฟ' แพงอยู่แล้ว แต่ยังแพงได้อีก เมื่อบราซิลเจอภาษีทรัมป์ 50%

กรุงเทพธุรกิจ

ยุน ซ็อก-ยอล "ถอดเสื้อผ้าประท้วง" ปฏิเสธการสอบสวน ปมประกาศกฎอัยการศึก

TNN ช่อง16

สมรภูมิออนไลน์ไทย-กัมพูชา ปลุกชาตินิยมสุดขั้ว หญิงกัมพูชาวัย 31 เล่าออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น

Thaiger

อดีตนักร้องสาว ประกาศยุติบทบาทเจ้าของกิจการแล้ว พร้อมอำลาแฟนๆที่คอยสนับสนุน (ข่าวต่างประเทศ)

News In Thailand

“ปูติน” เผย เริ่มผลิตขีปนาวุธเหนือเสียงรุ่นใหม่ จ่อประจำการเบลารุส

PPTV HD 36

รัฐบาลทรัมป์ระงับงบวิจัยยูซีแอลเอ เหตุต่อต้านยิว-ละเมิดสิทธิพลเมือง

เดลินิวส์

เลือดมันร้อน! แมวส้มห้าว ตามองไม่เห็นก็ยังปีนต้นไม้ ท้าตีบนหลังคาอย่างเซียน

Khaosod

ข่าวและบทความยอดนิยม

ภาษี 19% ดันไทยแข่งโลก นำเข้าเสรีแบบมีเงื่อนไข ปลดล็อกสหรัฐลงทุน

ประชาชาติธุรกิจ

ทบ.ยกระดับรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบพยายามบินตรวจที่ตั้งทหาร

ประชาชาติธุรกิจ

ชวนร่วมงานนิสิตเก่ามุสลิมจุฬาฯ 16 ส.ค. นี้

ประชาชาติธุรกิจ
ดูเพิ่ม
Loading...