“เพนนี” ปั้นป๊อบคอร์นสุขภาพ รุกขยายรร. 5 ดาว-ต่างประเทศ
นางสาวพรพิมล ปักเข็ม ผู้ก่อตั้ง “เพนนี พรีเมียม ป๊อบคอร์น” (Pennii Premium Popcorn) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ตลาดป๊อปคอร์นในปัจจุบันเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในตลาดป๊อปคอร์นพรีเมียมที่มีการพัฒนาในด้านบรรจุภัณฑ์และรสชาติที่หลากหลาย ซึ่งเพนนีได้เข้ามาเป็นเจ้าแรกในตลาดนี้ โดยก่อนหน้านี้ตลาดป๊อปคอร์นไม่มีแบรนด์ที่ผลิตในระดับพรีเมียม
ทั้งนี้ตลาดป๊อปคอร์นเติบโตขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เริ่มมองหาสแน็กที่ทานได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่จำกัดเฉพาะในโรงหนังอีกต่อไป ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตลาดนี้เติบโตคือการขยายโอกาสในการทานป๊อปคอร์นในสถานที่ต่างๆ ที่ไม่ใช่แค่โรงหนัง
อย่างไรก็ตามตลาดป๊อปคอร์นพรีเมียมในปัจจุบันเริ่มมีการแข่งขันที่สูงขึ้นจากทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศที่เข้ามาจับตลาดในห้างสรรพสินค้าและซูเปอร์มาร์เก็ต การสร้างความแตกต่างในผลิตภัณฑ์จึงกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการแข่งขัน
ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องมุ่งเน้นที่ราคา แต่ยังต้องให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค เพื่อดึงดูดตลาดในวงกว้าง แม้ว่าจะมีผู้เล่นใหม่ๆ ที่เข้ามาในตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่ก็มีการหายไปของแบรนด์เก่าที่ไม่สามารถยืนหยัดในตลาดได้เช่นกัน
สำหรับแผนธุรกิจในครึ่งปีหลังเน้นการส่งออกเป็นหลักจะมีการออกงานแฟร์ในต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะงานแฟร์ในฮ่องกง ซึ่งในปีนี้จะมีการเข้าร่วมงานดังกล่าวอีกครั้ง การเข้าร่วมงานแฟร์ในต่างประเทศเป็นโอกาสสำคัญในการขยายฐานลูกค้า เนื่องจากงานแฟร์เหล่านี้จะมีผู้ซื้อจากทั่วโลกเข้าร่วม
ซึ่งทำให้เพนนีได้มีโอกาสพบปะกับคู่ค้าต่างประเทศมากขึ้น โดยเราจะเจาะตลาด สิงคโปร์ และดูไบ เพื่อกระจายความเสี่ยง นอกจากนี้เรายังได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) ที่มอบงบประมาณสนับสนุนให้กับธุรกิจขนาดเล็ก (SMEs) ในการเข้าร่วมงานแฟร์ต่างๆ
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังโรงแรมหรู 5 ดาว เพื่อให้ลูกค้าจากต่างประเทศได้สัมผัสผลิตภัณฑ์โดยตรง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและเพิ่มโอกาสในการขยายการส่งออกไปยังต่างประเทศ
นางสาวพรพิมล กล่าวว่า การหายไปของนักท่องเที่ยวจีนก็ส่งผลกระทบต่อการขายสินค้า โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับการเมืองและสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน ซึ่งทำให้การค้าขายในปีที่ผ่านมาชะลอตัวลง แต่ในปีนี้เพนนีตั้งเป้าหมายการเติบโตเป็นเลขสองหลัก แม้ว่าสถานการณ์ยังไม่แน่นอนนัก
“เราหวังว่าในครึ่งปีหลังจะสามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายและเพิ่มการส่งออกได้มากขึ้น การเติบโตจะขึ้นอยู่กับการสนับสนุนจากภาครัฐและการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ”
บริษัทเน้นกลยุทธ์การผลิตในรูปแบบ OEM โดยลูกค้าสามารถให้คำแนะนำเกี่ยวกับรสชาติและราคาต้นทุนเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ตรงตามความต้องการอย่างเต็มที่ นอกจากนี้เพื่อความสำเร็จในตลาดที่มีการแข่งขันสูง เพนนีจึงมุ่งมั่นสร้างความแตกต่าง
ด้วยการพัฒนารสชาติเอกลักษณ์ที่ลูกค้าจดจำได้ เช่น รสทุเรียนหมอนทองและรสต้มยำกุ้งที่ใช้เครื่องเทศไทย เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสรสชาติอาหารไทยในรูปแบบใหม่ นอกจากนี้ยังพัฒนาโปรไบโอติกส์ใส่ในป๊อปคอร์นเพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการและสร้างความแตกต่างจากป๊อปคอร์นทั่วไป
ส่วนความท้าทายในตอนนี้คือได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาของวัตถุดิบ โดยเฉพาะช็อกโกแลตปรับราคาขึ้นถึง 75% ซึ่งเป็นการปรับราคาที่สูงมาก แต่บริษัทยังสามารถรับภาระนี้ไว้ได้โดยไม่เพิ่มราคาให้กับผู้บริโภค เนื่องจากเห็นใจสถานการณ์ทางการเงินของลูกค้าในปัจจุบัน และไม่ต้องการให้ลูกค้าลำบากในการตัดสินใจซื้อสินค้า
อีกทั้งสถานการณ์ทางการเมืองและเศรษฐกิจระดับโลก ซึ่งรวมถึงสงครามและนโยบายของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งผลให้การค้าในบางตลาดให้มีความซับซ้อนขึ้น
“เศรษฐกิจที่ไม่แน่นอนทำให้บริษัทบางแห่งตัดสินใจชะลอการขยายตลาด เช่น ตลาดในอินโดนีเซียที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาทางเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ ส่งผลให้การตัดสินใจในเรื่องการซื้อขายชะลอตัวลง”
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 4,114 วันที่ 17 - 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2568