“แพทองธาร” ไล่ไม่ไป สุดท้ายจะแพ้ภัยตัวเอง!! ** "วิทัย-ดร.รุ่ง" ใครจะนั่งเก้าอี้ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ”?!
ข่าวปนคน คนปนข่าว
++ “แพทองธาร” ไล่ไม่ไป สุดท้ายจะแพ้ภัยตัวเอง!!
การชุมนุมใหญ่ของคนไทยผู้รักชาติ รักแผ่นดิน ในนาม “คณะรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตยไทย” จนล้นบริเวณโดยรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อ “ขับไล่” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่มีความชอบธรรมที่จะอยู่ในตำแหน่งอีกต่อไป หลังจากมีกรณี “คลิปเสียง” เจรจากับ ฮุนเซน พร้อมเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลถอนตัว
แต่ไม่เป็นผล “แพทองธาร” ตีมึน ไล่ไม่ไป บรรดาพรรคร่วมรัฐบาลก็อยู่ในอารมณ์ลุ้นเก้าอี้รัฐมนตรี รอการโปรดเกล้าฯครม.ใหม่ลงมา
แต่บ้านเมืองยังมีขื่อ มีแป ตอนนี้กระแสสังคมจึงรอผลจากกระบวนการทางกฎหมาย ที่จะมา “สอย” นายกฯลงจากเก้าอี้ โดยเอาคลิปเสียงเป็นสารตั้งต้น
ที่ผ่านมา “สมชาย แสวงการ-นิติธร ล้ำเหลือ-คมสัน โพธิ์คง” อดีตสว. และนักกฎหมาย ได้แจ้งความอาญา ที่ บช.ก. ในความผิดต่อความมั่นคงของรัฐ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 119 ซึ่งแนวทางนี้ กว่าจะรู้ผล ก็ต้องสู้กัน 3 ศาล ใช้เวลานานแน่
ยังมีกรณี “เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ” ยื่น กกต. สอบ ว่านายกฯขาดคุณสมบัติ มีความไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งกรณีนี้ ก็ต้องใช้เวลาไม่น้อยเหมือนกัน กว่าจะไปถึงชั้นที่ประชุมใหญ่ กกต.พิจารณา ตัดสิน
กรณี “ศรีสุวรรณ จรรยา” นำเรื่องร้อง ป.ป.ช. ว่า นายกฯขาดคุณสมบัติ เพราะไม่ซื่อสัตย์ สุจริตเป็นที่ประจักษ์ ไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง เส้นทางนี้ หาก ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด ก็ต้องส่งศาลฎีกา ซึ่งก็ต้องใช้เวลาพอสมควร หากศาลฎีกา รับเรื่องไว้พิจารณา นายกฯ ก็ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่โดยอัตโนมัติ
และเส้นทางที่น่าจะส่งผลถึง “แพทองธาร” เร็วที่สุดคือ กรณี “กมธ.ทหารและความมั่นคงของรัฐ วุฒิสภา” ล่าชื่อสว. ได้ 36 คน ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ ให้พิจารณาถอดถอนนายกฯ ทำผิดรัฐธรรมนูญ ผิดกฎหมายอาญา เข้าข่ายทรยศ ขายชาติ และขอให้มีคำสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรธน.จะมีคำวินิจฉัย
เมื่อกรณีเข้าข่ายเรื่องเร่งด่วน “นครินทร์ เมฆไตรรัตน์” ประธานศาลรธน. ได้ให้สัมภาษณ์ว่า วันอังคารที่ 1 ก.ค.นี้ ศาลรธน. จะนัดประชุม เพื่อพิจารณาเรื่องดังกล่าว
ศาลฯจะรับเรื่องไว้พิจารณาหรือไม่นั้น ไม่น่ามีปัญหา เพราะคำร้องนี้ สว.เกินหนึ่งในสิบ ของจำนวนที่มีทั้งหมด คือ 200 คน ได้ยื่นเข้ามาในเส้นทางที่ รธน.บัญญัติเอาไว้ ชัดเจน
ส่วนที่ขอให้ศาลรธน.มีคำสั่งให้ “แพทองธาร” หยุดปฏิบัติหน้าที่ จนกว่าศาลรธน.จะมีคำวินิจฉัยนั้น ประเด็นนี้ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลฯ ว่าหากสั่งให้หยุดการปฏิบัติหน้าที่ หรือให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป อย่างไหนจะมีความเสียหายร้ายแรงตามมามากกว่ากัน
แต่ คลิปเสียง ซึ่งสว.ใช้เป็นหลักฐานประกอบคำร้องนั้น มีตอนที่สำคัญของการพูดคุย ระหว่าง “แพทองธาร กับฮุนเซน” เช่น
… "ไม่อยากให้ uncle (อา) ไปฟังคนที่เป็นฝั่งตรงข้ามกับเรา เพราะว่าพอไปฟังฝั่งตรงข้ามอย่างพวกแม่ทัพภาค 2 อย่างเนี้ยค่ะ เป็นคนของฝั่งตรงข้ามหมดเลย ซึ่งพอไปฟังอย่างนั้นเสร็จ ก็ไม่อยากให้ท่านรู้สึกไม่ชอบใจ หรือว่าโกรธ เพราะจริงๆ แล้วไม่ใช่ความตั้งใจของเราเลยค่ะ" … "เขาอยากจะดูเท่ เขาก็พูดอะไรออกมาที่มันไม่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติค่ะ"
…"บอกว่าจริงๆ แล้วถ้าท่านอยากได้อะไร ก็ให้ท่านบอกมาได้เลยค่ะ เดี๋ยวจะจัดการให้"… "จริงๆ แล้วท่านจะเอาอะไรจริงๆ ให้บอกอิ๊งค์ได้เลย ยกหูบอกก็ได้ อันไหนไม่เป็นข่าว ก็คือไม่เป็นข่าว อันนั้นที่หลุดไป มันหลุดเพราะสื่อ เพราะไม่ได้คุยกับอิ๊งค์แค่ 2 คน มันคุยกันเป็นกลุ่มนะพี่ มันเลยหลุดน่ะ แต่ถ้าคุยกับอิ๊งค์ 2 คน มันไม่มีหลุดอยู่แล้ว"…
คำพูดเหล่านี้ แม้ “แพทองธาร” จะพยายามแก้ตัวว่า เป็นเพราะทราบข้อมูลจากล่ามว่า ฮุน เซน โกรธแม่ทัพภาคที่ 2 จึงพยายามทำความเข้าใจ ซึ่งเป็นการพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์แบบส่วนตัว มองว่าไม่ควรนำมาเปิดเผย และย้ำว่า มีจุดมุ่งหมายที่จะรักษาไว้ซึ่งความสงบสุข และอธิปไตยของไทย จึงคุยด้วยความนุ่มนวล แต่ใครๆ ก็เห็นว่า "ฟังไม่ขึ้น" เพราะเมื่อมีการเผยแพร่คลิปเสียง แพทองธาร ก็ย่อมพยายามที่จะต้องหาข้อแก้ตัว และจะแก้ตัวยังไงก็ได้
หาก “แพทองธาร” มีเจตนาในการเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง และการสู้รบ เพื่อประโยชน์ของประเทศไทยจริง ก็สามารถดำเนินการตามวิธีการเจรจาทางการทูต ตามกระบวนการของกระทรวงการต่างประเทศ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้
ไม่มีเหตุผลความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องแอบเจรจากันเป็นการส่วนตัว และเรียกผู้นำประเทศ ที่กำลังมีการปะทะกันทางการทหาร ว่า "uncle" และ เรียกแม่ทัพภาคที่ 2 ว่า "ฝั่งตรงข้าม"
จากพฤติการณ์นี้ ถือได้ว่า แพทองธาร "ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อประเทศชาติ และประชาชน” รวมทั้งฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงด้วย
ประเด็นเหล่านี้ ศาลฯอาจพิจารณาว่า เข้าเงื่อนไข ตามที่สว.ร้องเรียนมา และจะนำไปสู่การสั่งพักการปฏิบัติหน้าที่ทันที จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัย
ขณะที่ “แพทองธาร” ก็ดูเหมือนจะรู้ชะตากรรม ถึงกับออกปากว่ามีความกังวลต่อเรื่องนี้
หาก วันที่ 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญ มีคำสั่งให้นายกฯพักการปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว จนกว่าศาลฯจะมีคำวินิจฉัย นั่นหมายความว่า ได้เวลานับถอยหลัง รัฐบาลแพทองธารแล้ว
และคงจะโทษใครไม่ได้ เพราะ “แพทองธาร” อ่อนด้อยเอง แพ้ภัยตัวเอง !
++ "วิทัย-ดร.รุ่ง" ใครจะนั่งเก้าอี้ “ผู้ว่าแบงก์ชาติ”?!
วงในกำลังระอุ! เพราะตอนนี้มี 2 แคนดิเดตตัวเต็งที่ต้องมาลุ้นกันแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน ว่าใครจะได้นั่งเก้าอี้ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนที่ 22 ต่อจาก “เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ” ที่กำลังจะครบวาระในเดือนกันยายนนี้
หนึ่งคือ “วิทัย รัตนากร” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ที่มาพร้อมโปรไฟล์ไม่ธรรมดา
ส่วนอีกหนึ่งที่ไม่ยอมน้อยหน้าคือ “ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส” รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ลูกหม้อจากรั้วแบงก์ชาติเอง
ว่ากันว่า “พิชัย ชุณหวชิร” ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่จะใช้ดุลยพินิจชี้ขาดว่าใครจะเข้าวิน ตัวเองก็วิงเวียนศีรษะไม่ใช่น้อย เพราะ “นี่ก็ดี นั่นก็ใช่” เลือกใคร ก็จะเสียดายอีกคน
“พิชัย”น่าจะต้องรับประทานยาแก้ปวดหัวหลายเม็ด ก่อนจะเลือกระหว่าง“วิทัย หรือ ดร.รุ่ง” แล้วเสนอชื่อเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่ออนุมัติ ซึ่งตามคาดการณ์เดิม ชื่อผู้ว่าฯคนใหม่อาจได้ฤกษ์เคาะในที่ประชุมครม.ต้นเดือนกรกฎาคมนี้!
สำหรับ “วิทัย รัตนากร” อายุ 54 ปี ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นลูกชายของคนดังในแวดวงการเงินการคลังและกฎหมายอย่าง "ศิริลักษณ์ รัตนากร" อดีตเอ็มดีหญิงคนแรก ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ"โสภณ รัตนากร" อดีตปลัดกระทรวงยุติธรรม ด้วยสายเลือดที่ไม่ธรรมดา ทำให้เขามีความรู้ และทักษะในการบริหารอย่างเต็มเปี่ยม
ดีกรีการศึกษาก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน! เขาคว้าปริญญาตรีด้านเศรษฐศาสตร์จาก ม.ธรรมศาสตร์ และต่อปริญญาโทอีก 3 ใบ ได้แก่ เศรษฐศาสตร์การเมืองและกฎหมายธุรกิจจากรั้วจุฬาฯ และ ปิดท้ายด้วยการเงินจาก Drexel University ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่สำคัญ นอกจากตำแหน่ง ผอ. ธนาคารออมสินแล้ว “วิทัย” ยังนั่งเก้าอี้ตำแหน่งสำคัญอีกหลายแห่ง ทั้งในแวดวงสมาคมกองทุน, สถาบันการเงินของรัฐ, บริษัทประกัน และบริษัทโฮลดิ้งต่างๆ ซึ่งประสบการณ์เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล ในการคุมนโยบายการเงินของประเทศ
ไม่เพียงแต่มีดีที่โปรไฟล์ แต่ผลงานก็โดดเด่นไม่แพ้กัน “วิทัย” นับว่าเป็นหัวเรือใหญ่ที่พลิกโฉมธนาคารออมสินให้กลายเป็น “ธนาคารเพื่อสังคม” หรือ Social Bank และ ยังมีความคิดเห็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทย ที่กำลังซบเซา โดยเขามองว่า ต้องอาศัยทั้งมาตรการการเงินและการคลัง ควบคู่กันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างเป็นรูปธรรม และยั่งยืน
ฟาก "ดร.รุ่ง มัลลิกะมาส" อายุ 57 ปี สาวแกร่งจากแบงก์ชาติ ก็จัดว่าโปรไฟล์ระดับอินเตอร์!
เธอจบปริญญาตรี ด้านเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และปริญญาเอก ด้านเศรษฐศาสตร์จาก MIT (Massachusetts Institute of Technology) ซึ่งเป็นสถาบันชั้นนำด้านเศรษฐศาสตร์ของโลกทั้งคู่
ว่ากันว่า เบื้องหลังความสำเร็จของ “ดร.รุ่ง” มีรากฐานจากครอบครัวที่ไม่ธรรมดาเช่นกัน!
“ดร.รุ่ง” เป็นบุตรสาวของ “ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.โกวิทย์ โปษยานนท์” จึงไม่น่าแปลกใจที่เธอจะซึมซับความรู้ความสามารถและมีสายเลือดนักเศรษฐศาสตร์มาเต็มๆ
ด้วยประสบการณ์การทำงานในแบงก์ชาติมานานกว่า 20 ปี ทำให้ “ดร.รุ่ง” เป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริงเสียงจริงในเรื่องนโยบายการเงิน การกำกับดูแลสถาบันการเงิน และการบริหารเชิงกลยุทธ์ขององค์กร แถมยังเคยดำรงตำแหน่งสำคัญมากมายใน ธปท. ไม่ว่าจะเป็น ผู้ช่วยผู้ว่าการ หรือ ผู้อำนวยการอาวุโสในหลายสายงาน และยังมีบทบาทในคณะกรรมการขององค์กรสำคัญๆ ทั้งกองทุนประกันชีวิต, กองทุนประกันวินาศภัย, และสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย ซึ่งล้วนเป็นตำแหน่งที่มีส่วนกำหนดทิศทางเศรษฐกิจและการเงินของประเทศทั้งในช่วงปกติ และยามวิกฤต
นอกจากนี้ “ดร.รุ่ง” ยังเป็นกำลังสำคัญในการผลักดัน "ภูมิทัศน์ภาคการเงินไทย" ที่มุ่งเน้นการสร้างการเงินยุคใหม่สำหรับเศรษฐกิจดิจิทัล และความยั่งยืนของประเทศ ซึ่งนำไปสู่โครงการที่คนไทยคุ้นเคยกันดีอย่าง "Virtual Bank" (ธนาคารพาณิชย์ไร้สาขา) และการผลักดันการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ผ่านโครงการต่างๆ เช่น "คุณสู้ เราช่วย" ที่ช่วยให้ลูกหนี้ สามารถบริหารจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น
งานนี้ต้องจับตาดูให้ดี! ว่าระหว่าง “วิทัย” ผู้มาพร้อมวิสัยทัศน์แบบ Social Bank กับ “ดร.รุ่ง” ลูกหม้อแบงก์ชาติผู้เชี่ยวชาญด้านนโยบาย ใครจะได้เป็น ผู้ว่าธปท.คนใหม่ อีกไม่นานเกินรอ ได้รู้กันแน่นอน !
website : mgronline.com
facebook : MGRonlineLive
twitter : @MGROnlineLive
instagram : mgronline
line : MGROnline
youtube : MGR Online VDO