จับตา 'ค่าเงินเอเชีย' แข็งค่าพุ่ง ตลาดเชื่อเกมเปลี่ยน เฟดจะลดดอกเบี้ยเร็วขึ้น
ดัชนีค่าเงินกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ MSCI EM currency Index แข็งค่าขึ้น 0.5% ในวันจันทรนี้ (4 ส.ค.) และนับเป็นการปรับตัวแข็งค่าขึ้นมากที่สุดในรอบกว่า 1 เดือน หลังจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงหนักตั้งแต่สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังจากตัวเลขการจ้างงานออกมาแย่กว่าที่คาดไว้ และกระตุ้นให้ตลาดกลับมามีมุมมองใหม่ต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์และค่าเงินริงกิตของมาเลเซีย แข็งค่าขึ้นมากถึงราว 1% เมื่อเทียบกับดอลลาร์ ขณะที่ดัชนี Bloomberg Dollar Spot Index อ่อนค่าลงถึง 0.9% ในช่วงการซื้อขายที่ผ่านมา
บลูมเบิร์กระบุว่า สินทรัพย์ในประเทศตลาดเกิดใหม่กำลังผ่อนคลายลง หลังจากที่เคยถูกกดดันจากมาตรการภาษีศุลกากรใหม่ที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว โดยดัชนีค่าเงิน MSCI ร่วงลงติดต่อกัน 6 วัน ก่อนที่จะดีดตัวขึ้นในวันจันทร์ นักลงทุนคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างเร็วที่สุดในเดือนหน้า (16-17 ก.ย.) หลังจากข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐอ่อนแออย่างน่าประหลาดใจ
“หากเฟดกลับมาลดอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งในเดือนกันยายน และส่งสัญญาณ 'ผ่อนคลายทางการเงินมากขึ้น' ก็อาจช่วยสนับสนุนสกุลเงินเอเชีย(ให้แข็งค่าขึ้นอีก)” ลอยด์ ชาน นักกลยุทธ์ค่าเงินของธนาคาร MUFG ระบุในบันทึก ส่วน "ปัจจัยเสี่ยง" ต่ออัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศในภูมิภาคนี้ อาจมาจากการบังคับใช้ภาษีนำเข้าที่สูงขึ้นของสหรัฐ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออก
ทางด้านความเชื่อมั่นของ "ตลาดหุ้นเอเชีย" ปรับตัวลดลงอย่างมากตามทิศทางวอลล์สตรีทเมื่อวันศุกร์ ซึ่งเกิดจากการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรขอสหรัฐที่น้อยกว่าตัวเลขคาดการณ์มากในเดือนก.ค. และยังมีการปรับลดตัวเลขของเดือน พ.ค.-มิ.ย. ลงด้วย ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ต่างปรับตัวลดลง ส่วนดัชนีหุ้น MSCI EM เพิ่มขึ้น 0.3% โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีรายใหญ่ของเกาหลีใต้และจีน
ทรัมป์เตรียมตั้ง 2 ตำแหน่งสำคัญ
ทรัมป์ กล่าวกับนักข่าวเมื่อวันอาทิตย์ว่า เร็วๆ นี้จะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการธนาคารกลางสหรัฐ หรือ Fed governor คนใหม่ที่ลาออกไป รวมถึงหัวหน้าสำนักงานสถิติแรงงานสหรัฐ (Bureau of Labor Statistics) หรือ BLS ที่เพิ่งถูกปลด
ก่อนหน้านี้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากการโจมตี เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดในเรื่องการเข้ามาแทรกแซงอำนาจธนาคารกลางในการกำหนดทิศทางนโยบายทางการเงิน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการปลด "เอริกา แมคเอ็นทาร์เฟอร์" หัวหน้า BLS หลังมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานแสดงการเติบโตที่อ่อนแอ
บทวิเคราะห์ของบลูมเบิร์กเผยว่า การเคลื่อนไหวเหล่าของทรัมป์ถูกมองว่าเป็นทำลายสถาบันการเงินสำคัญที่มักถูกมองว่าปราศจากอิทธิพลทางการเมือง
สำหรับตำแหน่งในเฟด ทรัมป์กล่าวว่าเขามี “สองสามคนในใจ” สำหรับตำแหน่งที่ว่างลงหลังจาก "เอเดรียนา คูกเลอร์" ประกาศเมื่อวันศุกร์ว่าจะลาออกจากที่นั่งในคณะกรรมการเฟด ตามจริงแล้ววาระของเธอจะหมดลงในเดือนม.ค. การลาออกครั้งนี้เปิดโอกาสให้ทรัมป์แต่งตั้งกรรมการเฟดที่สอดคล้องกับความต้องการลดอัตราดอกเบี้ยต่ำของเขา เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้