วัดเส้นรอบคอ สามารถชี้วัด ความเสี่ยงโรคหัวใจ การศึกษาชี้
นักวิจัยชี้ การวัดเส้นรอบคอ (Neck Circumference) เป็นวิธีง่าย ๆ ที่อาจช่วยคัดกรองความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยไม่ต้องพึ่งพาการตรวจซับซ้อน ที่ผ่านมา วิธีการตรวจหาความเสี่ยงโรคหัวใจที่คนทั่วไปคุ้นเคย คือการชั่งน้ำหนัก วัดรอบเอว หรือคำนวณค่าดัชนีมวลกาย (BMI) แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ นักวิจัยพบว่า วิธีง่าย ๆ อย่างการ “วัดรอบคอ” ก็สามารถช่วยบอกความเสี่ยงได้เช่นกัน
คอหนา = เสี่ยงโรคหัวใจ?
งานวิจัยหลายฉบับในต่างประเทศชี้ตรงกันว่า เส้นรอบคอ (Neck Circumference: NC) เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนถึงการสะสมไขมันบริเวณลำตัวส่วนบน ซึ่งเป็นไขมันที่มีผลเสียต่อหัวใจและหลอดเลือดโดยตรง
• การศึกษาในสหรัฐฯ จาก Framingham Heart Study (2010) พบว่า ผู้ที่มีเส้นรอบคอใหญ่ มีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แม้จะมีค่า BMI ใกล้เคียงกับคนที่คอบาง
• งานวิจัยในประเทศจีน (Medicine, 2020) พบว่า ผู้ชายที่มีเส้นรอบคอเกิน 37.8 ซม. และผู้หญิงเกิน 33.9 ซม. มีความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดมากกว่าคนทั่วไป
• ขณะที่งานวิจัยในอิหร่าน (2023) ยืนยันว่า ชายที่มีเส้นรอบคอเกิน 40 ซม. และหญิงเกิน 35 ซม. มีความเสี่ยงเกิด “กลุ่มอาการเมตาบอลิกซินโดรม” (Metabolic Syndrome) สูงขึ้นถึง 2–2.5 เท่า
กลุ่มอาการนี้ประกอบด้วย ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง ไขมันผิดปกติ และภาวะอ้วนลงพุง ซึ่งทั้งหมดเป็น “ทางด่วน” นำไปสู่โรคหัวใจ
ทำไม “คอ” ถึงสำคัญกว่าที่คิด
นักวิจัยอธิบายว่า ไขมันที่สะสมบริเวณคอและช่วงบนของร่างกาย จะปล่อยสารไขมันและสารก่อการอักเสบเข้าสู่กระแสเลือด ซึ่งไปทำลายผนังหลอดเลือดให้เสื่อมเร็วขึ้น ส่งผลให้เกิดการตีบแข็ง (Atherosclerosis) และนำไปสู่ภาวะหัวใจวายหรือโรคหลอดเลือดสมอง
นอกจากนี้ คนที่มีคอหนามักสัมพันธ์กับ ภาวะหยุดหายใจขณะหลับ (Obstructive Sleep Apnea) ซึ่งเพิ่มโอกาสหัวใจล้มเหลวและเสียชีวิตกะทันหันได้
วิธีวัดเส้นรอบคอ (ทำเองได้ที่บ้าน)
1. เตรียมสายวัด (ชนิดเดียวกับที่ใช้วัดเสื้อผ้า)
2. ยืนตรง วางสายวัดรอบคอบริเวณใต้ลูกกระเดือก (Adam’s Apple)
3. วัดโดยไม่รัดแน่นเกินไป และบันทึกตัวเลขเป็นเซนติเมตร
หากผลวัดออกมาสูงกว่าเกณฑ์ที่กล่าวไว้ข้างต้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพเพิ่มเติม ทั้งระดับน้ำตาล ไขมัน และความดันโลหิต
ใช้จริงแล้วหรือยัง?
แม้การวัดเส้นรอบคอจะยังไม่ถูกบรรจุอย่างเป็นทางการในแนวทางขององค์การอนามัยโลก (WHO) หรือสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (AHA) แต่ปัจจุบันหลายประเทศ เช่น จีน และอิหร่าน เริ่มนำไปใช้เป็นตัวชี้วัดร่วมในการคัดกรองกลุ่มเสี่ยงในงานวิจัย และพบว่ามีประโยชน์จริง
ในประเทศไทย แม้จะยังไม่ใช่วิธีตรวจมาตรฐาน แต่ก็เริ่มมีงานวิจัยในโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยบางแห่งที่นำ NC มาทดลองใช้คู่กับการตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อดูว่าช่วยคัดกรองกลุ่มเสี่ยงโรคหัวใจได้แม่นยำขึ้นหรือไม่
ข้อควรระวัง
ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่า การวัดเส้นรอบคอไม่สามารถใช้แทนการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดได้ แต่ควรใช้เป็น “สัญญาณเตือนเบื้องต้น” หากคอหนาเกินเกณฑ์ ควรปรับพฤติกรรม เช่น ออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ
โรคหัวใจและหลอดเลือด (Cardiovascular Disease – CVD) ยังคงเป็น “ภัยเงียบ” ที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดในโลก องค์การอนามัยโลก (WHO, 2023) ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 17.9 ล้านคนต่อปี หรือคิดเป็น 1 ใน 3 ของการเสียชีวิตทั้งหมด ขณะที่ประเทศไทยเอง กระทรวงสาธารณสุขเปิดเผยว่าในปีล่าสุดมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจมากกว่า 5 หมื่นราย และตัวเลขยังมีแนวโน้มสูงขึ้นต่อเนื่อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง