สังคมไทยกับความเข้าใจเรื่อง “ทุจริตในสิทธิผู้พิการ” กับความเท่าเทียมที่ยั่งยืน | ว่องวิช ขวัญพัทลุง
สิทธิข้างต้นนี้ได้รับการยืนยันในเอกสารสากลและกฎหมายไทย ได้แก่ UDHR, CRPD, หลักการชี้แนะว่าด้วยธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน (UNGPs), รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 และพระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 (ต่อไปนี้เรียกว่า“พ.ร.บ.คนพิการ”) ซึ่งกำหนดมาตรการจ้างงานและกลไกสนับสนุนไว้อย่างเป็นระบบ
ในทางสากล CRPD ย้ำว่า “สิทธิในการทำงานและการจ้างงาน” ของผู้พิการเป็นการคุ้มครองหลักที่รัฐต้องรับรองและต้องเอื้อให้เกิดขึ้นจริง
ในทางปฏิบัติ ขณะเดียวกัน รัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2560 รับรองความเสมอภาค การไม่เลือกปฏิบัติ และสิทธิด้านสวัสดิการของผู้พิการ ซึ่ง พ.ร.บ.คนพิการทำหน้าที่ “แปรเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญให้เป็นมาตรการเฉพาะ” ผ่านโควตาจ้างงาน กองทุน และมาตรการส่งเสริมตามมาตรา 33–35
โครงสร้างกฎหมายไทยกำหนด 3 ระดับมาตรการ:
(1) โควตารับผู้พิการเข้าทำงาน (มาตรา 33)
(2) ส่งเงินเข้ากองทุนเมื่อไม่จ้างตามโควตา (มาตรา 34)
(3) เลือกมาตรการส่งเสริมอาชีพอื่นแทน (มาตรา 35) เช่น ให้สัมปทาน จัดพื้นที่ขายของ จ้างเหมาบริการ ฝึกงาน จัดอุปกรณ์อำนวยความสะดวก จัดล่ามภาษามือ หรือให้ความช่วยเหลืออื่นแก่ผู้พิการ/ผู้ดูแล
กรอบ UNGPs ยังวาง 3 เสาหลัก ว่าด้วย รัฐต้องคุ้มครอง ธุรกิจต้องเคารพ และต้องสัมพันธ์กับการเข้าถึงการเยียวยาผู้พิการ ซึ่งล้วนสัมพันธ์กับมาตรา 33–35 โดยตรง และย้ำการทำ “human rights due diligence” ของสถานประกอบการเมื่อเลือกใช้มาตรา 35
อย่างไรก็ดี จากงานสำรวจผ่านผู้พิการโดยตรง และคดีตัวอย่างมากมายสะท้อน “ช่องโหว่” ในการบังคับใช้มาตรา 35 ที่เปิดทางให้เกิดการทุจริต หรือโกงเงินคนพิการหลากรูปแบบ
เช่น บังคับให้ผู้พิการ/ผู้ดูแลเปิดบัญชีธนาคารและมอบสมุดบัญชี-บัตรเอทีเอ็มให้กับผู้จัดการโครงการ อ้างความสะดวกในการถอนเงินคนพิการ แล้วจ่ายเงินเพียงบางส่วนหรือไม่ครบถ้วน และ/หรือข่มขู่ไม่ให้เกิดการร้องเรียน
คดีหนึ่งพบว่ามีการโอนเงินเข้าบัญชีผู้เสียหายเป็นงวด ๆ ตรงตามรอบสัญญา แต่ผู้กระทำยึดสมุดบัญชีและบัตรเอทีเอ็มไว้ จ่ายจริงเพียงบางส่วน ศาลพิพากษาลงโทษผู้กระทำผิดฐานยักยอกและสั่งคืนเงินแก่ผู้เสียหาย
ทั้งยังมีข้อเท็จจริงว่าคนพิการหรือผู้ดูแลหลายราย “ได้รับเงินไม่ครบ” หรือ “ถูกสวมสิทธิ” ซึ่งย้อนแย้งต่อเจตนารมณ์ทางกฎหมายที่ต้องการให้เงินสนับสนุนไปถึงผู้พิการโดยตรง
ผลกระทบจึงไม่ได้เป็นเพียงการสูญเสียทางการเงิน แต่คือการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้พิการ ตั้งแต่สิทธิในการทำงานและพัฒนาศักยภาพ ไปจนถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อความไว้วางใจหน่วยงานของรัฐที่รับผิดชอบ
ในด้านนโยบาย ตัวเลขเชิงสิทธิที่สังคมควรรู้คือ “วงเงินสนับสนุนขั้นต่ำต่อคนต่อปี” ภายใต้มาตรา 35 ซึ่งใช้คำนวณอิงค่าแรงขั้นต่ำ เช่น ปัจจุบันค่าแรงขั้นต่ำ 337 บาท/วัน วงเงินสนับสนุนต่อคนต่อปีเท่ากับ 337 บาทต่อวัน x 356 วันต่อปี เท่ากับ 123,005 บาท/คน/ปี (สิทธิผู้พิการที่เผยแพร่โดยสถาบันพระปกเกล้า)
เพื่อให้ผู้พิการรู้เท่าทันและสามารถปกป้องสิทธิของตนได้ ขณะเดียวกัน จากฐานข้อมูลเชิงสำรวจที่ปรากฏในโครงงานของหลักสูตร ปสม. 4 ยังสะท้อนว่ากลุ่มเป้าหมายต้องการ“การตรวจติดตามที่สม่ำเสมอ” เช่น ทุก 3 เดือนโดยบุคคลกลางที่โปร่งใส พร้อมการดำเนินคดีอย่างเด็ดขาดต่อผู้ทุจริตในทุกภาคส่วน
หากมองเทียบกับ “แนวปฏิบัติสากล” ภายใต้ CRPD และ UNGPs บทเรียนสำคัญคือ
(1) ความโปร่งใสของข้อมูลสิทธิและช่องทางร้องเรียนที่เข้าถึงง่าย
(2) ระบบติดตามผลที่ตรวจสอบได้
(3) ภาคธุรกิจต้องทำ due diligence ด้านสิทธิผู้พิการเมื่อดำเนินมาตรา 35 ทั้งในลักษณะโครงการและสัญญากับผู้พิการที่ชัดเจน พร้อมช่องทางเยียวยาตามเสาหลักที่สามของ UNGPs
สรุปข้อเสนอแนะสำหรับประเทศไทย
1) ย้ำ “สิทธิไม่ใช่ความกรุณา”: พื้นที่ทางแนวนโยบาย และกระบวนการทางกฎหมายของไทยมีรูปแบบที่ชัดเจนเพียงพอแล้ว (รัฐธรรมนูญ–พ.ร.บ.คนพิการ–CRPD–UNGPs) แต่ช่องว่างอยู่ที่การบังคับใช้และการรับรู้สิทธิของประชาชน ต้องขยับจาก “เอกสาร” สู่ “การเข้าถึงจริง” ทั้งในสถานประกอบการ หน่วยงานรัฐ และชุมชนท้องถิ่น
2) ปิดช่องทุจริตเชิงระบบของมาตรา 35: โดย
(ก) แยกหน้าที่ผู้สนับสนุนโครงการออกจากผู้ดูแลบัญชีการเงินอย่างเด็ดขาด
(ข) ห้ามครอบครองสมุดบัญชี/บัตรเอทีเอ็มของผู้พิการโดยผู้จัด/เอเจนซี
(ค) บังคับจ่ายเงินเข้าบัญชีชื่อผู้พิการ/ผู้ดูแลโดยตรงและ “ยืนยันตัวตนสองชั้น” ทุกงวด
(ง) เปิดเผยตารางงวดจ่าย จำนวนเงิน และหลักฐานการจ่ายต่อผู้พิการและหน่วยงานกำกับทันทีที่มีการโอน
3) ยกระดับการกำกับติดตามและเยียวยา: โดย
(ก) จัดให้มี “การตรวจติดตามรายไตรมาส” โดยคณะทำงานหลายฝ่าย (คนพิการ–รัฐ–เอกชน–ภาคประชาสังคม)
(ข) ใช้ดัชนีความเสี่ยงชี้เป้าโครงการที่ผิดปกติ (งบสูง/งวดจ่ายถี่/ไม่พบหลักฐานฝึกงานหรือการส่งมอบอุปกรณ์)
(ค) เปิด “ช่องทางร้องเรียนและคุ้มครองพยาน” ที่เข้าถึงง่ายตามหลัก UNGPs Pillar III พร้อมบังคับใช้โทษอาญาและแพ่งต่อผู้ทุจริตอย่างจริงจัง
4) ขยาย “โครงสร้างข้อมูลเพื่อสิทธิผู้พิการ”: จัดตั้ง/เชื่อมโยง “ศูนย์ข้อมูลผู้พิการ” ระดับชาติ-จังหวัด ให้เป็นฐานข้อมูลสัญญามาตรา 35 และผลการดำเนินงานที่ตรวจสอบโดยสาธารณะได้ (open data)
ซึ่งเป็นหนึ่งในมาตรการที่โครงงานของ ปสม. 4 เสนอเพื่อป้องกันและแก้ไขการทุจริต ควบคู่กับการรณรงค์สื่อสารเชิงสิทธิอย่างต่อเนื่อง
5) สร้างภูมิคุ้มกันผู้พิการและผู้ดูแล: ผ่านการประชาสัมพันธ์ “สิทธิขั้นต่ำต่อปี” ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนและทำสัญญา (แบบ กกจ.พก.1–2 และขั้นตอนอนุมัติ) รวมทั้งคู่มือสั้น ๆ เกี่ยวกับสัญญาที่เป็นธรรม เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรองและความกล้าร้องเรียนเมื่อพบความผิดปกติ
6) นำมาตรการทางภาษีสร้างแรงจูงใจ: ผูก “สิทธิประโยชน์ภาษี” เข้ากับหลักฐานผลลัพธ์จริง (เช่น ชั่วโมงฝึกงานที่ตรวจสอบได้/การส่งมอบอุปกรณ์/รายได้สุทธิถึงมือผู้พิการ) และตัดสิทธิหากพบการเบียดบังสิทธิหรือหลีกเลี่ยงกฎหมาย สร้างแรงจูงใจไปพร้อม ๆ กับตระหนักในบทลงโทษของกลุ่มนายจ้าง เพื่อให้มีการปฏิบัติตามมากขึ้น
กฎหมายที่ดีเป็นเพียงจุดเริ่มต้น สังคมที่ยืนข้างผู้พิการต้องทำให้กฎหมาย “ทำงาน” ผ่านการรับรู้สิทธิ ความโปร่งใส ตรวจสอบได้ และการเยียวยาที่เข้าถึงง่าย
หลัก CRPD และ UNGPs ให้ทิศทางที่ชัดเจน ส่วน พ.ร.บ.คนพิการของไทย ต้องทำหน้าที่ในการบังคับใช้เชิงรุก ผ่านการตรวจสอบ เพื่อปิดช่องว่างของมาตรา 35 และส่งทรัพยากรให้ถึงมือผู้พิการโดยแท้จริง
ด้วยเหตุนี้เท่านั้น เราจึงจะเปลี่ยนจาก “การช่วยเหลือเชิงความเมตตา” ไปสู่ “สิทธิที่ใช้การได้จริง” ซึ่งคือหัวใจของการพัฒนาสังคมอย่างเสมอภาคและยั่งยืน.