หมดยุคลุง ‘ลีกาชิง’ ปิดฉาก!! ยุคทุนผูกขาดฮ่องกง วันนี้… ลมแห่งโอกาส ไม่พัดมาทางนี้ อีกแล้ว
(10 ส.ค. 68) เพจเฟซบุ๊ก ‘สะใภ้จีนbyฮูหยินปักกิ่ง’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับ ‘ฮ่องกง’ โดยมีใจความว่า …
ลุงลีกาชิง จากชายขายดอกไม้พลาสติก → เจ้าพ่ออสังหาฯ และสาธารณูปโภค → สัญลักษณ์ทุนผูกขาดฮ่องกง วันนี้… ลมแห่งโอกาส ไม่พัดมาทางนี้อีกแล้ว
ในอดีตฮ่องกง มีคำพูดหนึ่งที่คนท้องถิ่นเข้าใจกันดีว่า“คนฮ่องกง ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่มีวันหนีพ้นตระกูลลี”
(คุ้นๆกับอาณาจักรSamsungในเกาหลีใต้ไหม) เพราะทุกสิ่งในชีวิตประจำวัน ตั้งแต่บ้านที่อยู่ น้ำที่ดื่ม ไฟที่ใช้ โทรศัพท์ที่ต่อ จนถึงผ้าอ้อมเด็กที่คุณซื้อจากซูเปอร์มาร์เก็ต — เบื้องหลังอาจมีชื่อของ “ลี กา-ชิง” และเครือธุรกิจของเขาอยู่ทั้งนั้น
แต่วันนี้…ผู้ชายที่เคยเป็นเสมือนเข็มทิศเศรษฐกิจของฮ่องกงกำลังถอยออกจากเวทีอย่างเงียบๆจ้า โดยส่งสัญญาผ่าน“ตำแหน่ง” และ “กองสมบัติ”ที่ตระกูลนี้เคยถืออยู่ เมื่อปีนี้รัฐบาลฮ่องกงประกาศรายชื่อ คณะที่ปรึกษาพิเศษ — กลุ่มสมองและอิทธิพลสูงสุดที่ช่วยออกแบบนโยบายให้ผู้ว่าฯฮ่องกง
โดยปกติจะมีรายชื่อของ34 คนดังที่มีอิทธิพลสูงสุดในฮ่องกง ซึ่งในปีนี้นอกจากตำแหน่งของผู้ที่เสียชีวิตและเกษียณ ทุกคนได้ต่อวาระหมดยกเว้น… “ลี เจ๋อ-กี” ลูกชายคนโตทายาทของลุงLeeที่ถูกตัดออกแบบเฉพาะเจาะจง
ต่อมาไม่นานฮูหยินก็เริ่มเห็นข่าวตระกูลลีเทขายสมบัติรัว ๆ เช่น
• ช่วงพ.ค. ลดราคาคอนโดหรูในปักกิ่ง 30% หลังถือไว้นาน 23 ปี
• ช่วงก.ค. ปล่อยบ้านใน Greater Bay Area 400 ยูนิต ลดเหลือ 60% ของราคาเดิม ต่ำสุดราว 40 ล้านบาท หรือ
• กระทั่ง “บ้านแต่งงาน” ของลุงLee ที่เคยลั่นว่า “ไม่มีวันขาย” ก็มีข่าวลือว่ากำลังปล่อย 50,000 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (แม้ลูกชายจะออกมาปฏิเสธ แต่กระแสสงสัยก็แรงเกินห้าม)
จากจุดเริ่มต้นของลุงLee คือการขาย “ดอกไม้พลาสติก”จนปี 1967 เกิดวิกฤติอสังหาฯ ราคาที่ดินร่วงแรง คนเทขายกัน แต่เขากลับสวนกระแสกว้านซื้อไว้ไม่กี่ปีให้หลังที่ดินเหล่านั้นราคาพุ่ง 20 เท่า — ทำให้เขาเห็นชัดว่า“ทำโรงงานสู้เก็งที่ไม่ไหว”จากนั้น ลุงLeeก็ใช้สูตรเดิมซ้ำแล้วซ้ำอีก — ซื้อถูก+เก็บยาว+ปล่อยเช่าหรือขายกำไรทีหลัง เมื่อฮ่องกงเริ่มไม่มีช่องเก็งกำไร เขาก็ยกโมเดลนี้ไปเล่นในจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยจ้า โดยเลือกเล่นงานเมืองใหญ่ทีละเมือง
แต่รู้ไหมว่า กิจการของลุงLeeไม่ได้แค่ผูกขาดชีวิตประจำวันจ้า เขาไม่ได้หยุดที่อสังหาฯหรอกนะ แต่เขาเล็งไปที่สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานเลย — น้ำ ไฟ โทรคมนาคม ท่าเรือ เพราะรู้ว่า ถ้าผูกขาดได้ก็เท่ากับ “นอนรอเงิน”
(โดยในยุคนั้นฮ่องกงยังอยู่ใต้การปกครองอังกฤษ ทรัพยากรเหล่านี้ถูกทุนอังกฤษครองจนปี 1979 อังกฤษเริ่มมองหาคนท้องถิ่นที่คิดแบบทุนตะวันตกมารับช่วงและลี กา-ชิง ที่เติบโตภายใต้ระบบอังกฤษก็ลงล็อกพอดีด้วย+มีแรงหนุนจากกลุ่มธนาคาร HSBCเป็นหลัก)
ผลลัพธ์คือ ฮ่องกงกลายเป็นเมืองที่ถูกทุนอสังหาฯ จับตัวประกัน
ทั้งบ้านแพงติดอันดับโลก
ของกินของใช้ก็ราคาโหด
ประชาชนทำงานทั้งชีวิตยังซื้อบ้านไม่ได้
ซึ่งจริงๆปัญหานี้ รัฐบาลฮ่องกงมีแผนที่จะต้องแก้ และมีนโยบายที่จะเปลี่ยนให้เกาะฮ่องกงเป็นเมืองเทคโนโลยี
แต่…ในช่วงที่ฮ่องกงตั้งใจจะเปลี่ยนตัวเองเป็น “เมืองเทคโนโลยี” ผ่านโครงการCyberportที่รัฐบาลต้องการให้เป็นศูนย์บ่มเพาะสตาร์ทอัพแบบ Silicon Valley ดีลนี้กลับกลายเป็นโอกาสที่ลูกชายคนเล็กของลุงLeeใช้โอกาสในการฮุบที่ดิน แล้วแปลงเป็นอสังหาฯ หรูพื้นที่เพื่อเทคโนโลยีจริงๆเหลือเพียงเศษเสี้ยว และในหลายสิบปีที่ลุงLeeทำเงินมหาศาลจากฮ่องกง ซึ่งพอรัฐบาลจีนเข้ามาควบคุมฮ่องกงอย่างหนัก สุดท้ายทุนหลักๆกลับย้ายหนีกลับไปอังกฤษ และก็ทำให้พบว่า ตลอดระยะเวลาที่กลุ่มทุนใหญ่ครอบงำฮ่องกง … ที่ผ่านฮ่องกงไม่ได้รับการลงทุนในด้านเทคโนโลยีหรือสาธารณูปโภคอย่างที่ควร
(ในมุมนี้ สื่อตะวันตกอาจจะเสนออีกมุม ต้องคิดกันเองจ้า)
ส่วนเรื่องการหยุดขายท่าเรือในคลองปานามาของลุงLeeที่เป็นกระแสโด่งดังก่อนหน้านี้ ที่ต้องหยุดฉะงักลง เพราะเป็นการสั่งเหยียบเบรคอย่างแรงจากแผ่นดินใหญ่ ท่าเรือในคลองปานามาและอีกกว่า 23 ประเทศเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญของโลก ซึ่งจีนไม่อยากโดนล้อมโดยสหรัฐฯแน่ คนในแผ่นดินใหญ่มองว่าเขาเป็นคนขายชาติ เป็นคนฝั่งอังกฤษไปแล้ว แน่นอนผลกระทบจากเรื่องนี้ ก็ทำให้การขยับเขยื้อนของลุงLeeถูกทางการจีนเพ่งเล็งแบบขีดสุด ต่อแต่นี้ไป เขาจะทำอะไร ขยับไปทางไหนก็คงยากขึ้น
ครั้งหนึ่ง คนฮ่องกงเคยเชื่อว่า “ตามลุงLeeไป ก็เจอโอกาส”แต่วันนี้ ลมแห่งโอกาส ไม่พัดไปทางนั้นแล้ว บางคนคิดว่านี่ไม่ใช่แค่การปิดฉากของมหาเศรษฐีคนหนึ่งแต่เป็นการสิ้นสุดของยุค “ทุนผูกขาด – เก็งกำไร – เก็บค่าเช่า” ที่เคยครอบงำเกาะฮ่องกงมาตลอด