ไทยเปิดพื้นที่ “ทูตต่างชาติ-สื่อ” ตรวจสอบเหตุ “กัมพูชา” โจมตีพลเรือนชายแดน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ส.ค. 2568) พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก และนายรัศม์ ชาลีจันทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้นำคณะเอกอัครราชทูตและอุปทูตจาก 11 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน บรูไน ญี่ปุ่น เมียนมา มาเลเซีย สปป.ลาว อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม และฟิลิปปินส์ พร้อมด้วยคณะทูตทหารจาก 23 ประเทศ และสื่อมวลชนไทย–ต่างประเทศกว่า 150 คน ลงพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชาในจังหวัดอุบลราชธานีและศรีสะเกษ
การลงพื้นที่ครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อรับฟังสรุปเหตุการณ์ ตรวจสอบข้อเท็จจริง และสังเกตการณ์ผลกระทบต่อพลเรือนไทยจากการใช้อาวุธระยะไกลของฝ่ายกัมพูชา โดยหนึ่งในจุดสำคัญที่คณะฯ ได้เดินทางไปตรวจสอบ ได้แก่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านซำเม็ง ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ และศูนย์พักพิงชั่วคราว ณ วิทยาลัยเทคนิคกันทรลักษ์
ขณะเดียวกัน ที่มณฑลทหารบกที่ 22 (มทบ.22) ค่ายสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี พ.อ.พัฒนา พันธุ์มงคล ผู้แทนกรมข่าวทหารบก ได้บรรยายสรุปลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นปี 2568 โดยระบุว่า ฝ่ายกัมพูชามีพฤติกรรมยั่วยุอย่างต่อเนื่อง ทั้งการนำกลุ่มนักท่องเที่ยวร้องเพลงปลุกใจในเขตปราสาทตาเมือนธม (13 ก.พ.), การเผาศาลาตรีมุข (28 ก.พ.), การดัดแปลงภูมิประเทศเพื่อวัตถุประสงค์ทางทหาร (มี.ค.–เม.ย.), การเสริมกำลังประชิดชายแดน (เม.ย.–พ.ค.), การลักลอบขุดคูในเขตไทย และการวางทุ่นระเบิด PMN-2 ซึ่งทำให้ทหารไทยได้รับบาดเจ็บสาหัส ถือเป็นการละเมิดอนุสัญญาออตตาวาอย่างร้ายแรง
ฝ่ายไทยได้ดำเนินมาตรการควบคุมพื้นที่ตามหลักความมั่นคง โดยการล้อมรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันการบุกรุก อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 24 ก.ค. 2568 กัมพูชาได้เปิดฉากยิงใส่ทหารไทยบริเวณปราสาทตาเมือนธม และยกระดับการโจมตีด้วยปืนใหญ่และจรวด BM-21 สู่พื้นที่พลเรือนอย่างรุนแรง เช่น โรงพยาบาลพนมดงรัก, ปั๊มน้ำมันบ้านผือ, ร้านสะดวกซื้อ, โรงเรียน และชุมชนในจังหวัดสุรินทร์ บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ และอุบลราชธานี ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 36 ราย เสียชีวิต 15 ราย (รวมเด็ก 1 ราย) และมีประชาชนต้องอพยพออกจากพื้นที่กว่า 150,000 คน
ฝ่ายไทยจึงจำเป็นต้องตอบโต้ตามหลักการป้องกันตนเองภายใต้ Article 51 ของกฎบัตรสหประชาชาติ โดยมุ่งเป้าเฉพาะเป้าหมายทางทหาร ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังคงยิงตอบโต้จากพื้นที่พลเรือนและมีพฤติกรรมใช้ประชาชนเป็นโล่มนุษย์
สำหรับสถานการณ์ล่าสุด หลังการเจรจาหยุดยิงที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 กัมพูชายังละเมิดข้อตกลงอย่างต่อเนื่อง โดยลักลอบเข้ามาในพื้นที่ 6 จุด ได้แก่ ช่องบก (อุบลราชธานี), ช่องซำแต, ผามออีแดง, ภูมะเขือ, พลาญยาว (ศรีสะเกษ) และปราสาทตาควาย (สุรินทร์) โดยการละเมิดยังดำเนินต่อเนื่องถึงเช้าตรู่วันที่ 30 ก.ค.
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ยังพบว่า กัมพูชาเพิ่มกำลังทหารตามแนวชายแดน พร้อมใช้อากาศยานไร้คนขับ (โดรน) ล้ำเข้ามาในเขตไทย ซึ่งถือเป็นพฤติกรรมที่สะท้อนถึงความไม่จริงใจในการเคารพข้อตกลงหยุดยิง
ด้านการโต้แย้งข้อมูลบิดเบือนของฝ่ายกัมพูชา ฝ่ายไทยได้ชี้แจงข้อเท็จจริงอย่างเป็นทางการ ดังนี้
- ไทยใช้สิทธิป้องกันตนเองตาม Article 51 ไม่ได้ละเมิดอธิปไตยกัมพูชา
- ไม่มีการใช้หรือครอบครองอาวุธเคมี ภาพที่ฝ่ายกัมพูชาอ้างเป็นภาพเหตุการณ์ดับไฟป่าที่รัฐแคลิฟอร์เนีย ปี 2565
- ไม่มีการใช้ F-16 หรืออาวุธหนักโจมตีประชาชน การปฏิบัติทุกอย่างจำกัดเฉพาะเป้าหมายทางทหาร
- วัตถุที่กล่าวหาว่าเป็นระเบิด MK-84 เป็นระเบิดเก่าสมัยสงครามเวียดนามที่ถูกหยิบมาใช้ในการกล่าวหาอย่างผิดบริบท
ฝ่ายไทยย้ำว่า เหตุปะทะเกิดจากการโจมตีก่อนของกัมพูชา และยังคงละเมิดข้อตกลงแม้จะมีการเจรจาหยุดยิง พร้อมเรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศร่วมติดตามสถานการณ์ด้วยความเข้าใจข้อเท็จจริง และสนับสนุนการเจรจาทวิภาคีบนพื้นฐานของหลักสันติวิธี
ขณะเดียวกัน ว่าที่พันตรี อดิศักดิ์ น้อยสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุบลราชธานี รายงานว่า ขณะนี้มีการอพยพประชาชนกว่า 20,000 คน ไปยังศูนย์พักพิง 68 แห่ง ห่างจากแนวชายแดนประมาณ 70 กิโลเมตร การอพยพส่งผลให้เกิดความยากลำบากในการดำรงชีวิต ขณะเดียวกันมีโรงพยาบาล 3 แห่ง และรพ.สต. อีก 20 แห่งต้องปิดให้บริการ โดยมีพลเรือนเสียชีวิตแล้ว 1 ราย และมีความเสียหายต่อทรัพย์สินจำนวนมาก