บล.พาย แนะหุ้นเด่นเดือน ก.ค. ท็อปพิก AMATA-BDMS-MINT-OSP-KTB-KTC พื้นฐานแกร่ง-กำไรโต
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) หรือ Pi ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ เริ่มส่งสัญญาณชะลอตัวสะท้อนผ่าน PMI และแรงงาน ส่วนเงินเฟ้อ สหรัฐฯ แม้มีความกังวลเกี่ยวกับระดับราคาสินค้าที่อาจปรับขึ้นเพราะภาษีนำเข้าแต่ถึง กระนั้นหากไปพิจารณาที่เงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI)
โดยล่าสุดพบว่ามิได้เร่งขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะว่าราคาน้ำมันที่ปรับลงจึงต้องติดตามพัฒนาการของราคาน้ำมันดิบ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาเกิดความกังวลสถานการณ์ในตะวันออกกลางแม้ล่าสุดจะไม่มีความรุนแรงแล้วแต่ก็มิสามามารถวางใจได้ แต่ถึงอย่างนั้นก็เชื่อว่าราคาน้ำมันดิบจะมิได้เร่งตัวแรงมากด้วยอุปสงค์ที่ไม่แข็งแกร่ง ด้านทิศทางเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มเติบโตลดลงในครึ่งปีหลังตามการส่งออกที่เร่งขยายตัวไปก่อนหน้า
ทั้งนี้ ประกอบกับการท่องเที่ยวเริ่มชะลอตัวตั้งแต่ไตรมาสที่ 2/2568 แต่อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นไทยอาจมี Downside Risk ที่ไม่มากด้วย Valuation ที่ไม่แพง ล่าสุดลงมาซื้อขายในช่วงค่า PBV ที่ 1 เท่า เป็นระดับที่ในอดีตเมื่อลงมาทดสอบมักเป็นแนวรับที่ดี
อย่างไรก็ตาม Upside ก็อาจไม่ได้สูงมาก จากปัจจัยพื้นฐานที่ยังไม่แข็งแกร่ง ในเชิงกลยุทธ์จึงเน้นเลือกเป็นรายตัวชูหุ้นท็อปพิก อาทิ AMATA, BDMS, MINT, OSP, KTB และ KTC
บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA ให้ราคาเป้าหมาย 33.60 บาท มีลูกค้าในมือที่เพียงพอสำหรับรายได้ในปี 2568 แล้ว โดยมีงานในมือ Backlog อยู่กว่า 21,000 ล้านบาท และยังมีการขายที่ดินได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังคาดว่าจะได้รับผลดีจากข้อสรุปเรื่องภาษีในช่วงต้นเดือน ก.ค.นี้
บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ให้ราคาเป้าหมาย 26 บาท เครือข่ายโรงพยาบาลแข็งแกร่งรองรับเทรนการใช้จ่ายด้านสุขภาพที่สูงขึ้น สอดรับกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุในระยะยาว ซึ่งจากการเปิดให้บริการโรงพยาบาลแห่งใหม่ตั้งแต่ต้นปี หนุนจำนวนเตียงทั้งหมดเติบโดเป็น 8,914 เตียง ถึงแม้ในไตรมาสที่ 2/2568 คาดผลประกอบการจะอ่อนตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า จากปัจจัยฤดูกาล ก่อนพื้นตัวอีกครั้งในไตรมาส 3 หลังหน้าฝน ทั้งนี้มองว่ากำไรสุทธิยังเติบโตได้ดีเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ป่วยต่างชาติ
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ให้ราคาเป้าหมาย 36 บาท คาดผลประกอบการกำไรปกติไตรมาสที่ 2/2568 เติบโตทั้งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า หนุนจากปัจจัยในฤดูกาลท่องเที่ยวยุโรป โดยยอดจองห้องพักทยอยสูงขึ้นอยู่ในเกณฑ์ตั้งแต่เดือนเมษายน ขณะที่รายได้ต่อห้อง (RevPar) คาดเติบโตแข็งแกร่ง ประกอบกับผลประกอบการธุรกิจร้านอาหารที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับไตรมาสก่อนหน้า จากแคมเปญไอศกรีมมะม่วงยอดนิยมที่เลื่อนการเปิดตัวมาจากไตรมาสที่ 1/2568 บนภาระดอกเบี้ยที่ลดลงจากการลดหนี้ 1BD/E ตามเป้าที่ 0.8 เท่า
บริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ให้ราคาเป้าหมาย 19 บาท ส่วนแบ่งตลาดดีขึ้นเป็น 45.0% เดือน เม.ย. 2568 จาก 44.4% ในเดือน มี.ค. 2568 และ 44.5% ในเดือน ธ.ค. 2567 สะท้อนผลตอบรับที่ดีต่อ M150 ฝาเหลืองขวด 10 บาท และมีผลกระทบต่อ M150 ขวด 12 บาทไม่มากนัก โดยคาดเห็นแนวโน้มดีต่อเนื่องจากกลยุทธ์ Hero Brand ในเเต่ละภูมิภาค บวกกับต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ซึ่งประเมินกำไรปกติไตรมาสที่ 2/2568 โตเด่นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ยังระดับใกล้เคียงกำไรปกติไตรมาสที่ 1/2568 ที่ทำ All time high
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ให้ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท ผู้นำการบริการสินเชื่อภาครัฐ และบริษัทขนาดใหญ่ โดดเด่นจาก (1) คุณภาพสินเชื่อแข็งแกร่งผ่อนคลายสำรองหนี้ฯ (2) ฐานลูกค้าใช้แอปพลิเคชัน Krungthai NEXT เป๋าตัง และถุงเงินรวมกันเกือบ 50 ล้านคน เพิ่มฐานรายได้ค่าธรรมเนียม (3) ผลตอบแทนเงินปันผลสูงราว 7% ในปี 2568 (4) Valuation ไม่แพง ซื้อขายที่ค่า PBV ปี 2568 ที่ 0.65 เท่า และ (5) คาดกำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2/2568 แข็งแกร่ง เติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนและเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC ให้ราคาเป้าหมาย 32 บาท ผู้นำการบริการสินเชื่อบัตรเครติด โดดเด่นจาก (1) คุณภาพสินเชื่อแข็งแกร่ง และระดับสำรองหนี้ฯ สูง (2) คาดผลการดำเนินงานแนวโน้มเติบโตเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน, เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (3) ผลตอบแทนเงินปินผลแนวโน้มสูงราว 5.2% ในปี 2568 และ (4) Valuation ในเพจ ซื้อขายที่ค่า PE ปี 2568 ที่ 8.7 เท่า