ศาลรธน. ฟัน “พิเชษฐ์” พ้น สส. ปมแปรงบ 69 ตัดสิทธิ์การเมือง 10 ปี หลุดรองประธานสภา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (1 ส.ค. 2568) ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่นายภัณฑิล น่วมเจิม และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) รวม 121 คน (ผู้ร้อง) ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้วินิจฉัยกรณี นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย และรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง (ผู้ถูกร้อง) มีส่วนเกี่ยวข้องโดยทางตรงหรือทางอ้อมกับการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568
คดีนี้เกี่ยวข้องกับ 3 โครงการของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ได้แก่
- โครงการพัฒนาศักยภาพเยาวชนและประชาชนในปกครองระบอบประชาธิปไตย
- โครงการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชนในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
- โครงการส่งเสริมบทบาทสตรีทางการเมืองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวถูกเสนอของบประมาณในปี 2568 และนำกลับมาเสนอซ้ำอีกครั้งในปีงบประมาณ 2569 โดยยังมีลักษณะและสาระเนื้อหาเหมือนเดิม ศาลเห็นว่า โครงการทั้งสามเป็นผลจากการดำริของผู้ถูกร้อง และมีส่วนในการเสนอ แปรญัตติ หรือกระทำด้วยประการใด ๆ ซึ่งมีผลต่อการใช้งบประมาณที่เกี่ยวข้องกับตนเองหรือกลุ่มงาน
ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติด้วยเสียงข้างมาก 6 ต่อ 3 วินิจฉัยว่า ผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และมีผลให้สมาชิกภาพ สส. ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม
โดยให้ถือว่า วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยให้คู่กรณีฟัง คือวันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นวันที่คำวินิจฉัยมีผลบังคับใช้ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2561 มาตรา 76 วรรคหนึ่ง และถือเป็นวันที่ตำแหน่ง ส.ส. แบบแบ่งเขตว่างลง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 105 วรรคหนึ่ง (1) ประกอบมาตรา 102
นอกจากนี้ ศาลยังมีคำสั่งให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของนายพิเชษฐ์ เป็นระยะเวลา 10 ปี
ทั้งนี้ การสิ้นสุดสมาชิกภาพ สส. ของนายพิเชษฐ์ ทำให้ตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ว่างลงโดยอัตโนมัติ เนื่องจากผู้ดำรงตำแหน่งรองประธานฯ ต้องเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรตามกฎหมาย