โปรแกรมเมอร์ช้ำหนัก ตกเป็นเครื่องมือ มิจฉาชีพใช้ฟอกเงิน 11 ล้าน
วันที่ 1 สิงหาคม 2568 นายบอย (นามสมมุติ) โปรแกรมเมอร์วัย 38 ปี พร้อมด้วย ดร.เกรียงศักดิ์ พินทุสรศรี ทนายความผู้ผดุงความยุติธรรม ได้เดินทางเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เพื่อดำเนินคดีกับนาง "พ" อายุ 42 ปี กับพวก ในข้อหาร่วมกันฉ้อโกงและหลอกลวงให้ตกเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด โดยพบว่ามีการใช้บัญชีธนาคารของบริษัทที่ผู้เสียหายถูกหลอกให้เปิดเป็นช่องทางในการฟอกเงินกว่า 11 ล้านบาท
ดร.เกรียงศักดิ์ เปิดเผยว่า นาง "พ" ได้หลอกลวงให้นายบอยเปิดบริษัทและเป็นกรรมการเพียงคนเดียว โดยอ้างว่าจะทำธุรกิจนายหน้ารับซื้อน้ำมัน จากนั้นได้ให้นายบอยไปเปิดบัญชีธนาคารในนามบริษัท ก่อนที่นาง "พ" จะเป็นผู้เก็บสมุดบัญชีและดูแลแอปพลิเคชันธนาคารทั้งหมดแต่เพียงผู้เดียว โดยที่นายบอยไม่เคยรู้เห็นเกี่ยวกับการทำธุรกรรมใด ๆ
ด้านนายบอยเล่าว่า เมื่อกลางปีที่แล้ว เพื่อนหญิงคนหนึ่งได้แนะนำให้รู้จักกับนาง "พ" ซึ่งอ้างว่าทำธุรกิจหลายอย่าง นาง "พ" ชักชวนให้ตนมาร่วมงานในบริษัทใหม่ด้านน้ำมัน โดยอาศัยความรู้ด้านไอทีของตน และจดทะเบียนบริษัทออนไลน์เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยตนเป็นกรรมการบริษัทเพียงคนเดียวและจะได้ส่วนแบ่ง 3–5% จากยอดซื้อขาย
หลังจากนั้น นาง "พ" ได้พาตนไปเปิดบัญชีธนาคาร โดยใช้เบอร์โทรศัพท์ของบริษัทผูกกับแอปพลิเคชันธนาคารเพื่อทำธุรกรรมเพียงคนเดียว ต่อมาตนได้รับหมายเรียกจาก สภ.สัตหีบ ในฐานะพยาน เนื่องจากมีผู้เสียหายแจ้งความว่าถูกหลอกให้โอนเงินเข้าบัญชีบริษัทดังกล่าว เมื่อตนไปให้ปากคำและระบุว่านาง "พ" เป็นคนใช้บัญชี พนักงานสอบสวนจึงแนะนำให้คืนเงิน 50,000 บาทเพื่อไม่ให้ถูกดำเนินคดี ซึ่งตนได้ไปสอบถามนาง "พ" แต่ไม่สามารถติดต่อได้อีกเลยตั้งแต่วันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา
เมื่อตรวจสอบสเตทเมนต์ธนาคาร นายบอยก็พบว่ามียอดเงินโอนเข้าบัญชีบริษัทหลายครั้งรวมกว่า 11 ล้านบาท ก่อนจะถูกทยอยโอนออกไปเข้าบัญชีของนาง "พ" โดยแบ่งเป็นครั้งละไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อหลีกเลี่ยงการสแกนใบหน้า ซึ่งต้องใช้ใบหน้าของตน สุดท้ายในบัญชีเหลือเงินเพียง 1,000 กว่าบาทเท่านั้น
จากเหตุการณ์นี้ ทำให้ตนเชื่อว่าถูกหลอกลวง และติดต่อขอความช่วยเหลือจากทนายเกรียงศักดิ์ เนื่องจากตนยังได้รับหมายเรียกจาก สภ.สัตหีบอีกครั้ง ให้ไปรับทราบข้อหาฉ้อโกงประชาชนในวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทั้งที่ไม่ได้ก่อเหตุและไม่ได้รับเงินแม้แต่บาทเดียว
ดร.เกรียงศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนื่องจากมีเงินหมุนเวียนในบัญชีสูงกว่า 11 ล้านบาท เชื่อว่าอาจมีผู้เสียหายอีกหลายราย และเป็นภัยต่อสังคมอย่างยิ่ง จึงต้องการให้ตำรวจกองปราบปรามเร่งขยายผลสืบสวนถึงผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด เพื่อนำตัวมาลงโทษตามกฎหมาย
พร้อมกับเน้นย้ำว่า "คนเราควรกล้าในสิ่งที่ควรกล้า คนเราควรกลัวในสิ่งที่ควรกลัว"