รองเลขาฯ สอท.เตือนอย่ารีบดีใจ ภาษีทรัมป์ 19%
(1 ส.ค. 68) จากกรณีที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารลดอัตราภาษีนำเข้าแบบต่างตอบโต้ (Reciprocal Tariff) สำหรับประเทศไทยจาก 36% เหลือ 19% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม 2568 หลังการเจรจาที่เข้มข้นของรัฐบาลไทย ซึ่งนำไปสู่ข้อตกลงหยุดยิงกับกัมพูชาที่มาเลเซียเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568
การลดภาษีครั้งนี้ช่วยให้ไทยอยู่ในระดับแข่งขันเทียบเท่าชาติอาเซียนอื่น เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ พร้อมรักษาเสถียรภาพการส่งออกไปสหรัฐฯ ซึ่งเป็นตลาดหลักมูลค่า 54,889 ล้านดอลลาร์ในปี 2567 ทั้งนี้ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่าผลสำเร็จนี้สะท้อนมิตรภาพไทย-สหรัฐฯ และสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุน ขณะที่รัฐบาลเตรียมมาตรการเยียวยาผู้ประกอบการเพื่อรับมือความท้าทายในอนาคตนั้น
ล่าสุด วันนี้ นายหัสดิน สุวัฒนะพงศ์เชฎ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์สภาอุตสาหกรรมนครราชสีมา ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า การลดภาษีนำเข้าสหรัฐฯ สำหรับสินค้าไทยจาก 36% เหลือ 19% ถือเป็นข่าวดีและเป็นโอกาสสำคัญที่ทำให้สินค้าไทยสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้อย่างทัดเทียมกับประเทศในกลุ่มอาเซียนอื่น เช่น อินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ ตนเห็นว่าหากยังคงอัตราภาษีเดิมไว้ที่ 36% อาจส่งผลกระทบต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) มากกว่า 1% แต่เมื่อมีการปรับลดลง ผลกระทบในมิตินี้ก็ย่อมลดน้อยลงเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม ตนเองยังมีความกังวลต่อรายละเอียดของข้อตกลงดังกล่าว โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าที่สหรัฐฯ อาจนำเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลต่อผู้ประกอบการและเกษตรกรในประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มที่เปราะบางอย่างผู้เลี้ยงสุกรหรือผู้ปลูกข้าวโพด ที่อาจสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจากต้นทุนที่สูงกว่าสินค้านำเข้า ตนตั้งคำถามต่อแนวทางเยียวยาว่า หากผู้ประกอบการบางรายไม่สามารถดำเนินกิจการต่อได้จริง รัฐบาลจะช่วยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจและส่งเสริมการเปลี่ยนอาชีพหรือผลิตสินค้าใหม่อย่างไร
นอกจากนี้ยังมีข้อกังวลเกี่ยวกับผลกระทบต่อการลงทุนในประเทศ แม้การลดภาษีจะดูเหมือนเอื้อต่อการลงทุน แต่ก็ต้องพิจารณาเงื่อนไขการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ว่าเป็นวัตถุดิบที่ช่วยลดต้นทุนจริง หรือเป็นสินค้าที่อาจมีประเด็นด้านสุขอนามัยและไม่ใช้ในตลาดต้นทาง
นายหัสดินฯ ยังกล่าวถึงประเด็นค่าเงินบาทว่า หากนโยบายของสหรัฐฯ มุ่งทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง อาจทำให้ค่าเงินบาทแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาค เช่น เวียดนาม ซึ่งส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขันของไทยโดยตรง หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างธนาคารแห่งประเทศไทยและกระทรวงการคลังต้องมีบทบาทในการกำหนดทิศทางนโยบายการเงินและการคลังให้สมดุล
ในส่วนของความมั่นคง ตนเห็นว่ารัฐบาลควรเร่งเจรจาและจัดการปัญหาชายแดน โดยเฉพาะการค้าชายแดนที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ เช่น ไทยกับกัมพูชา ซึ่งไทยได้เปรียบดุลการค้าเกิน 1 แสนล้านบาท ขณะเดียวกัน ความไม่แน่นอนทางการเมืองภายในประเทศก็ยังคงเป็นปัจจัยเสี่ยงที่อาจบั่นทอนความเชื่อมั่นของนักลงทุนและทำให้การตัดสินใจในระดับนโยบายเป็นไปอย่างไม่เด็ดขาด
ตนแนะนำให้รัฐบาลเปิดเผยรายละเอียดของข้อตกลงครั้งนี้ให้มากที่สุด รับฟังเสียงจากผู้ประกอบการในแต่ละภาคส่วน และพิจารณามาตรการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อรองรับการแข่งขันที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเร่งด่วน พร้อมเดินหน้าสร้างเสถียรภาพทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมืองควบคู่กัน เพื่อให้ไทยสามารถใช้โอกาสจากการลดภาษีครั้งนี้ได้อย่างเต็มศักยภาพในระยะยาว