‘แม้ว’ เสี่ยงคุก10ปี ‘อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา’ยันเอาผิดครอบงำชี้นำ เพื่อไทยได้
ส่อล้มทั้งกระดาน! อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาชี้ "ทักษิณ" น่าจะครอบงำและชี้นำกิจกรรมพรรคเพื่อไทยจนอาจถูกยุบพรรคได้ และอาจมีความผิดอาญาตามกฎหมายพรรคการเมือง เสี่ยงคุก 10 ปี "ธรรมนัส" โบ้ยไม่ได้เชิญ "นายใหญ่" เข้าบ้านพิษณุโลกในนามรัฐบาล แค่เชิญผู้เชี่ยวชาญไปหารือ ขณะที่ม็อบโคราชไล่ "อุ๊งอิ๊ง" พ้นเก้าอี้นายกฯ
เมื่อวันที่ 12 กรกฎาคม 2568 นายวัส ติงสมิตร นักวิชาการอิสระ อดีตผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกา โพสต์เฟซบุ๊กในหัวข้อ “ทักษิณน่าจะครอบงำและชี้นำกิจกรรมพรรคเพื่อไทยจนอาจถูกยุบพรรคได้ และอาจมีความผิดอาญาตามกฎหมายพรรคการเมือง” โดยมีเนื้อหาระบุว่า
1.กฎหมายเลือกตั้ง สส. ห้ามผู้ไม่มีสัญชาติไทยเข้ามีส่วนช่วยเหลือในการหาเสียงเลือกตั้ง สส. (มาตรา 77) นายทักษิณ ชินวัตร มีสัญชาติไทย (จะมีสัญชาติอื่นและมี passport ของประเทศอื่นด้วยหรือไม่ ไม่ทราบ) จึงมีสิทธิเป็นผู้ช่วยหาเสียงเลือกตั้ง สส.ของพรรคเพื่อไทยได้
2.ทักษิณถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาในข้อหา ทุจริตหรือใช้อำนาจขัดต่อกฎหมายรวม 3 คดี ลงโทษจำคุกรวม 8 ปี แต่ได้รับพระมหากรุณาอภัยลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี นับตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2566
3.ทักษิณเป็นสมาชิกพรรคการเมืองไม่ได้ เพราะเคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกในข้อหาทุจริตหรือใช้อำนาจขัดต่อกฎหมาย ต้องห้ามตามกฎหมายพรรคการเมือง (มาตรา 24 (2)) ปัจจุบันทักษิณจึงไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร บุตรสาว เป็นหัวหน้าพรรค
4.มีการกระทำโดยเปิดเผยอย่างน้อย 4 ครั้ง ที่แสดงให้เห็นว่า ทักษิณซึ่งไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย น่าจะครอบงำหรือชี้นำกิจกรรมของพรรคเพื่อไทย ในลักษณะที่ทำให้พรรคหรือสมาชิกพรรคขาดความอิสระ ทั้งนี้ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม ดังนี้
การให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2568 ที่สำนักงาน ป.ป.ส. กรุงเทพฯ การให้สัมภาษณ์ในรายการของ Nation TV ชื่อว่า “3 Editors” เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม 2568 การเข้าร่วมงาน “55 Years Nation Exclusive Talk: Breaking Through Thailand’s Crisis - Chapter 1” ณ Nation TV สตูดิโอ ช่อง 22 และตอบคำถามของพิธีกร เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2568 การร่วมถกแผนรับมือภาษีทรัมป์กับแกนนำพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม 2568 ที่บ้านพิษณุโลก
5.พรรคเพื่อไทยจึงอาจถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคได้เมื่อ กกต.ร้องขอ (กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 92 (3))
6.ทักษิณอาจมีความผิดอาญาซึ่งมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 100,000 บาท ถึง 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และศาลต้องสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง (กฎหมายพรรคการเมือง มาตรา 108)
วันเดียวกันนี้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ในฐานะประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม เปิดเผยว่า ในช่วงเช้าที่วันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา ได้พบกับนายทักษิณ ในการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหามาตรการรับมือกำแพงภาษีสหรัฐอเมริกา ที่บ้านพิษณุโลก ซึ่งไปในนามกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่พรรคกำกับดูแล ขณะเดียวกันตนได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมในฐานะเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
อ้างไม่ได้เชิญในนามรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวถามว่า นายทักษิณเป็นห่วงถูกฟ้องเรื่องการครอบงำหรือไม่ ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรมตอบว่า ในการหารือวันนี้ไม่ได้เชิญในนามรัฐบาล แต่เชิญในฐานะผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญไปหารือ
ซักว่านายทักษิณให้คำแนะนำอะไรหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัสเผยว่า แต่ละฝ่ายที่ร่วมประชุมให้ข้อเสนอ และที่ประชุมเห็นตรงกันว่า การดำเนินการต้องคำนึงถึงคนไทยเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะภาคการเกษตร ซึ่งนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เน้นย้ำการคำนึงถึงพี่น้องเกษตรกร และไม่ทำให้เกิดความเสียหายแก่พี่น้องเกษตรกร ที่ถือว่าเป็นนัยเรื่องสำคัญ โดยในที่ประชุมวันนี้คุยเรื่องสถานการณ์ทางการเมือง มีเพียงการพูดคุยเรื่องการยกระดับมาตรฐานภาษีของสหรัฐอเมริกา
ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายทักษิณเข้าร่วมประชุมกับคณะรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจและทีมที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีที่บ้านพิษณุโลก โดยระบุว่า เป็นเพียงการแลกเปลี่ยนมุมมองในฐานะอดีตผู้นำ เพื่อรับมือกับกำแพงภาษี 36% ของสหรัฐที่จะเริ่มบังคับใช้กับสินค้าไทย 1 ส.ค.นี้
เขาระบุว่า ข้อเสนอของนายทักษิณบนเวทีวิสัยทัศน์ก่อนหน้านี้ ได้เน้นย้ำว่ารัฐบาลควรดูแล SME และเกษตรกร ไม่ยอมให้ไทยตกเป็นฐานเคลื่อนไหวในลักษณะกระทบต่อความมั่นคง
“ไม่เข้าใจพวกอคติหน้าเดิมๆ หมดมุกเรื่องไทย-กัมพูชา วันนี้หยิบภาษีมาขวางอีก หากเจรจาสำเร็จ ไทยโดนเก็บภาษีต่ำกว่า 36% คนที่ได้คือ SME เกษตรกร และประเทศชาติ ไม่ใช่ทักษิณ”
นายพร้อมพงศ์ยังกล่าวด้วยว่า การเมืองยังไม่ถึงทางตัน หากทุกฝ่ายช่วยกันเสนอทางออก ไม่ใช่พายไม่ไหวแล้วยังเอาเท้าราน้ำ ส่วนกรณีคลิปเสียงและการหยุดปฏิบัติหน้าที่ของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีชั่วคราว ท่านยังลงพื้นที่ จ.นครราชสีมา แสดงความห่วงใยปัญหาน้ำ และได้รับเสียงต้อนรับอบอุ่นจากประชาชน พร้อมย้ำว่า “ไม่ว่าท่านจะอยู่ในตำแหน่งไหน จะรับใช้ประชาชนเสมอ”
เขายังกล่าวว่า ขณะนี้ฝ่ายกฎหมายของพรรคเพื่อไทยเตรียมคำชี้แจงครบถ้วนเพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรน่ากังวล พร้อมย้ำว่า “การเมืองไม่ตัน มีแต่บางฝ่ายอยากให้ตัน เพื่อฉวยจังหวะปลุกปั่น”
ม็อบโคราชไล่ 'แพทองธาร'
อย่างไรก็ตาม ที่บริเวณด้านหน้าอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี อำเภอเมืองฯ จังหวัดนครราชสีมา เมื่อเย็นวันศุกร์ ได้มีกลุ่มผู้ชุมนุม “คนโคราชไม่เอานายกฯ ขายชาติ” จำนวนกว่า 50 คน ไปรวมตัวชุมนุมกันเพื่อรอขับไล่ น.ส.แพทองธาร ที่เดินทางไปเป็นประธานเปิดงานประเพณีแห่เทียนพรรษาของจังหวัดนครราชสีมาในช่วงค่ำ โดยทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการชูธงชาติและเป่านกหวีดขับไล่ พร้อมกับชูป้ายข้อความขับไล่นายกรัฐมนตรี
และใกล้กันห่างออกไปไม่ถึง 50 เมตร ก็มีกลุ่มผู้ชุมนุมกว่า 50 คน ยืนถือป้ายพร้อมดอกกุหลาบ คอยให้กำลังใจ น.ส.แพทองธารด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความตึงเครียดของกลุ่มผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่าย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ อส.นับร้อยนายต้องไปยืนดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่บริเวณจัดงานอย่างเข้มงวด
เวลาต่อมาบริเวณถนนโพธิ์กลาง ซึ่งจะเป็นเส้นทางที่ น.ส.แพทองธารเดินทางมา พล.ต.ต.ประสงค์ เรืองเดช รอง ผบช.ภ.3, พล.ต.ต.ไพโรจน์ ขุนหมื่น ผบก.ภ.นครราชสีมา และ พ.ต.อ.สุทธินันท์ คงแช่มดี ผกก. สภ.เมืองนครราชสีมา ได้ยืนเจรจาพูดคุยกับแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อขอให้ยุติการชุมนุม แต่การเจรจาอยู่ประมาณเกือบ 30 นาทีไม่เป็นผล กลุ่มผู้ชุมนุมยืนยันว่าจะชุมนุมอยู่จุดเดิมจนกว่า น.ส.แพทองธารจะเดินทางกลับ ซึ่งทำให้คณะของ น.ส.แพทองธารต้องเลี่ยงไปใช้เส้นทางถนนราชดำเนินเข้ามายังบริเวณพิธี
โดยหนึ่งในประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจ น.ส.แพทองธารเปิดเผยว่า เดินทางมาให้กำลังใจนายกรัฐมนตรีในฐานะคนทำงานคนหนึ่ง ซึ่งกรณีคลิปเสียงที่เกิดขึ้นนั้น มองว่าเป็นความผิดพลาดที่เกิดขึ้นได้ เนื่องจากนายกฯ ต้องการที่จะให้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชานั้นเกิดความสงบ เลยใช้วิธีการคุยแบบญาติสนิทเพื่อคลี่คลายปัญหาดังกล่าว
ขณะที่ประชาชนฝั่งที่มาชุมนุมขับไล่เปิดเผยว่า พวกตนต้องการแสดงจุดยืนของประชาชนชาวโคราชที่ไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีขายชาติ และต้องการเรียกร้องให้ น.ส.แพทองธารลาออกจากตำแหน่ง.