ภาษีทรัมป์แยก ‘เวียดนาม’ ออกจาก ‘จีน’ ได้จริงหรือ? เมื่อฐานผลิตขาดจีนไม่ได้
สำนัหข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า เม็ดเงินลงทุนจากจีนยังคงไหลเข้าสู่ฐานการผลิตโลกอย่าง "เวียดนาม" อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสถานการณ์ทางการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐ ยังคงร้อนระอุ เมื่อท่าทีของ ”โดนัลด์ ทรัมป์“ ประธานาธิบดีสหรัฐและ “ปีเตอร์ นาวาร์โร” ที่เคยออกมาเตือนว่า หาก เวียดนามซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตรายใหญ่ ยังคงพึ่งพาห่วงโซ่อุปทานจากจีนมากเกินไป ก็อาจต้องเผชิญกับกำแพงภาษีนำเข้าจากอเมริกาที่สูงขึ้น
ถึงขนาดที่นาวาร์โรเคยให้สัมภาษณ์กับ Fox News เมื่อเดือนเมษายนว่า เวียดนามนั้นเปรียบเสมือน "อาณานิคมของจีนคอมมิวนิสต์"
ทว่าสถานการณ์กลับพลิกผัน เมื่อทรัมป์ประกาศข้อตกลงภาษีนำเข้ากับเวียดนามในเดือนก.ค. โดยกำหนดภาษีที่ 20% สำหรับสินค้าเวียดนาม และ 40% สำหรับสินค้าที่ต้องสงสัยว่าส่งผ่านมาจากประเทศอื่น เช่น จีน ซึ่งยังคงทำให้เวียดนามได้เปรียบเมื่อเทียบกับจีนที่เผชิญภาษีสูงถึง 55%
เม็ดเงินจีนยังคงหลั่งไหลเข้า ‘เวียดนาม’
แม้จะมีความไม่แน่นอนเรื่องภาษี แต่เงินทุนจากจีนกลับหลั่งไหลเข้าสู่ภาคการผลิตทางตอนเหนือของเวียดนามอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะที่ จังหวัดบั๊กนิญ ซึ่งเป็นศูนย์กลางอิเล็กทรอนิกส์สำคัญ กิจกรรมจากบริษัทจีนที่นี่คึกคักอย่างมาก
บั๊กนิญกำลังคึกคักไปด้วยกิจกรรมจากบริษัทจีน โดย มี ตรินห์ ผู้จัดการของบริษัท KCN Vietnam ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าสำหรับซัพพลายเออร์ทั่วโลก กล่าวว่าโครงการพัฒนาอุตสาหกรรมล่าสุดของบริษัทขายหมดอย่างรวดเร็ว โดยโรงงานส่วนใหญ่ในโครงการนี้จะเป็นของบริษัทจีนหลายแห่ง เช่น Shenzhen MYGT Co. ซึ่งผลิตจอยเกมให้กับ Microsoft และ Nintendo รวมถึง Dongguan Rayking Electronics Co. ผู้ผลิตแผงวงจรไฟฟ้าอะคูสติก
ภาษีทรัมป์จ่อกระทบเศรษฐกิจ แต่การลงทุนยังแข็งแกร่ง
ก่อนหน้านี้ เวียดนามเคยถูกสหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงถึง 46% ซึ่งส่งผลให้คำสั่งซื้อจากลูกค้าสหรัฐลดลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความกังวลต่อเศรษฐกิจอย่างมาก จนทางการเวียดนามต้องเร่งส่งคณะผู้แทนไปเจรจาที่กรุงวอชิงตัน และสถานการณ์ก็คลี่คลายลงในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ในกรุงฮานอยก็ยอมรับว่า ภาษีศุลกากรอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกไปยังสหรัฐลดลงมากถึง 1 ใน 3 โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่อาจลดลงประมาณ 15,000 ล้านดอลลาร์
แม้ประเด็น "สินค้าส่งผ่านแดน" จะยังคงเป็นที่จับตาของสหรัฐ แต่บทบาทที่เพิ่มขึ้นของเวียดนามในห่วงโซ่อุปทานโลกก็ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง
เหงียน ดึ๊ก ลอง เจ้าหน้าที่ประจำจังหวัดบั๊กนิญ คาดหวังว่าจะมีเงินลงทุนเพิ่มเติมในจังหวัดอีก 1 พันล้านดอลลาร์ นอกเหนือจากเงินลงทุนจากต่างประเทศ 4 พันล้านดอลลาร์ ที่ได้รับการยืนยันแล้วในช่วงครึ่งแรกของปีนี้
ข้อมูลรัฐบาลเวียดนามระบุว่า การลงทุนจากจีนและฮ่องกงในช่วงครึ่งแรกของปีนี้เพิ่มขึ้น 23% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เป็น 3.56 พันล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ แม้เวียดนามจะได้เปรียบเรื่องภาษี แต่ก็ต้องเผชิญความท้าทายใหม่เมื่อรัฐบาลจีนไม่พอใจที่ซัพพลายเออร์ขยายกิจการออกไปนอกประเทศ ทำให้การเคลื่อนย้ายผู้เชี่ยวชาญและอุปกรณ์การผลิตเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังต่างประเทศทำได้ยากขึ้น
เวียดนาม ศูนย์กลางการผลิตโลก
เวียดนามได้ก้าวพ้นจากภาพลักษณ์ประเทศเกษตรกรรมสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตระดับโลกอย่างรวดเร็ว ด้วยข้อตกลงการค้ากว่าสิบฉบับและแผนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดการลงทุน เช่น แรงงานราคาถูกและมีคุณภาพ เสถียรภาพทางการเมือง การพัฒนาด้านโลจิสติกส์ ข้อได้เปรียบด้านภาษี
เจฟฟรีย์ เพิร์ลแมน ซีอีโอของ Warburg Pincus ยืนยันว่า "ไม่ใช่แค่บริษัทจีนเท่านั้น" ที่กำลังย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนาม แต่ยังรวมถึงบริษัทอเมริกัน เกาหลี และญี่ปุ่น แสดงให้เห็นถึงการหลั่งไหลของการลงทุนจากหลากหลายประเทศทั่วโลก
เวียดนามกลายเป็นฐานผลิตที่ขาด ‘จีน’ ไม่ได้
แม้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก แต่เวียดนามยังคง พึ่งพาจีนใน “ห่วงโซ่อุปทาน” โดยการนำเข้าสินค้าจากจีนของเวียดนามในช่วงครึ่งแรกของปีนี้พุ่งสูงถึงเกือบ 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์เพิ่มขึ้น 26% จากปีก่อน และคิดเป็นเกือบ 40% ของการนำเข้าทั้งหมด ซึ่งสินค้าเหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในการผลิตสินค้าส่งออกหลักของเวียดนาม
Trinh Nguyen นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสของ Natixis ชี้ว่า แม้เวียดนามจะกลายเป็นฐานการผลิตที่น่าสนใจสำหรับหลายประเทศทั่วโลก แต่การผลิตสินค้าสำคัญเพื่อการส่งออกของเวียดนามอย่างโทรศัพท์และสิ่งทอนั้น เองยังคงต้องพึ่งพาวัตถุดิบ ชิ้นส่วน และส่วนประกอบต่างๆ ที่นำเข้าจากประเทศจีนเป็นหลัก
สิ่งที่น่าสนใจคือสงครามการค้าที่ทรัมป์เริ่มขึ้น ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อลดการพึ่งพาจีน กลับส่งผลให้ผู้ผลิตจำนวนมากย้ายฐานการผลิตมายังเวียดนามแทน ทำให้ช่องว่างทางการค้าระหว่างเวียดนามกับสหรัฐขยายตัวขึ้นไปอีก เวียดนามจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานโลก แต่ในขณะเดียวกันก็พบว่าเวียดนามต้องพึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนมากขึ้นกว่าที่เคย ซึ่งหมายความว่าสินค้า "Made in Vietnam" ส่วนใหญ่ในวันนี้ยังคงพึ่งพาส่วนประกอบจากจีนเป็นหลัก
Tseng จาก Bloomberg Intelligence ให้ความเห็นว่าความพยายามของทรัมป์ที่พยายามแยกประเทศต่างๆ เช่น เวียดนาม ออกจากจีน ซึ่งเห็นได้จากภาษีนำเข้าสินค้าขนถ่ายสินค้าสูงถึง 40% แต่ความพยายามดังกล่าว "จะยังคงไม่มีประสิทธิผล เนื่องจากจีนยังคงเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ของส่วนประกอบต่างๆ มากมาย"
อ้างอิง Bloomberg