ทรัมป์ เขย่าการค้าโลกนัดใหม่ประกาศเก็บ ภาษีนำเข้า 150 ประเทศเท่ากัน
ผู้นำสหรัฐฯ เผยแผนกำหนดอัตรา ภาษีนำเข้า เดียวแก่กว่า 150 ประเทศและภูมิภาค ที่ไม่ได้เป็นคู่ค้าหลักโดยเฉพาะประเทศที่ไม่ใหญ่มากและค้าขายน้อย เตรียมแจ้ง 20 กว่าชาติรับมือภาษีใหม่ 1 ส.ค. นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตหากบังคับใช้จริงหวั่นผลกระทบเศรษฐกิจสหรัฐฯและการเมืองภายใน
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ได้สร้างความฮือฮาในแวดวงการค้าระหว่างประเทศอีกครั้ง เมื่อวันพุธที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาท้องถิ่น) โดยเปิดเผยแผนการที่จะปรับโครงสร้างการจัดเก็บภาษีนำเข้าครั้งใหญ่ ด้วยการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าในอัตราเดียวกันสำหรับประเทศและภูมิภาคกว่า 150 แห่งทั่วโลก ซึ่งหากดำเนินการจริง อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การค้าโลกอย่างไม่เคยมีมาก่อน ตามรายงานของสำนักข่าวโพลิติโค (Politico)
คำกล่าวของทรัมป์มีขึ้นระหว่างการหารือกับเจ้าชายซัลมาน บิน ฮามัด อัล คาลิฟา มกุฎราชกุมารแห่งบาห์เรน ณ ทำเนียบขาว โดยเขากล่าวอย่างชัดเจนว่า "สำหรับกลุ่มประเทศเหล่านี้ จะเป็นอัตราเดียวกันทั้งหมด" พร้อมทั้งอธิบายเพิ่มเติมว่า ประเทศที่จะได้รับผลกระทบจากมาตรการใหม่นี้ "ไม่ได้เป็นประเทศที่ใหญ่มากและเป็นประเทศที่ไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯ มากนัก"
ย้อนกลับไปในเดือนเมษายนที่ผ่านมา สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า รัฐบาลทรัมป์ได้เคยกำหนดอัตราภาษีศุลกากรพื้นฐานไว้ที่ 10% สำหรับประเทศที่ไม่ได้รับความคุ้มครองจากข้อตกลงทวิภาคี ซึ่งแม้ว่าในเวลานั้นทรัมป์เคยแย้มถึงความเป็นไปได้ที่อัตราพื้นฐานใหม่อาจเพิ่มสูงขึ้นเป็น 15% หรือ 20% แต่ในการแถลงล่าสุดเมื่อวันพุธ เขายังไม่ได้ระบุตัวเลขอัตราภาษีที่ชัดเจน
การเคลื่อนไหวนี้ไม่ได้เป็นเพียงแนวคิดที่อยู่บนโต๊ะเจรจาเท่านั้น เพราะรัฐบาลสหรัฐฯ ได้เริ่มดำเนินการแจ้งไปยังประมาณ 20 กว่าประเทศและภูมิภาคแล้ว อาทิ สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ โดยระบุว่าอัตราภาษีใหม่นี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่ถึงสองสัปดาห์
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์และผู้สังเกตการณ์ในตลาดต่างประเทศยังคงแสดงความสงสัยอย่างมากว่า ภาษีชุดใหม่นี้จะสามารถมีผลบังคับใช้ตามเส้นตายที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 สิงหาคมนี้ได้จริงหรือไม่ ท่ามกลางความกังวลที่กำลังก่อตัวขึ้นเกี่ยวกับผลกระทบเชิงลบที่อาจเกิดขึ้นกับเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เอง ตลอดจนประเด็นการเมืองภายในประเทศที่อาจได้รับแรงกระเพื่อมจากการดำเนินนโยบายการค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันนี้
ผลกระทบที่คาดการณ์ได้
- ความไม่แน่นอนทางการค้า การประกาศนี้สร้างความไม่แน่นอนครั้งใหญ่ให้กับระบบการค้าโลก เนื่องจากประเทศที่เคยได้รับสิทธิพิเศษทางการค้า หรือมีอัตราภาษีต่ำกับสหรัฐฯ อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้นอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการวางแผนธุรกิจและการลงทุน
- แรงกดดันต่อประเทศคู่ค้า ประเทศที่ถูกระบุว่า "ไม่ได้ค้าขายกับสหรัฐฯ มากนัก" และประเทศที่ยังอยู่ระหว่างการเจรจา เช่น สวิตเซอร์แลนด์และอินเดีย (ซึ่งครองสัดส่วนมากกว่า 3% ในการขาดดุลการค้าของสหรัฐฯ ในปี 2567 แต่ยังไม่ได้รับแจ้งอย่างเป็นทางการ) จะต้องเผชิญกับแรงกดดันในการเจรจาต่อรองหรือปรับตัวให้เข้ากับกฎระเบียบใหม่
- ความผันผวนของเศรษฐกิจโลก หากนโยบายนี้ถูกนำมาใช้จริง อาจนำไปสู่การตอบโต้ทางการค้าจากประเทศต่างๆ และส่งผลให้เกิดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งจะสร้างแรงกดดันเพิ่มเติมต่อเศรษฐกิจโลกที่กำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้านอยู่แล้ว
ผู้เชี่ยวชาญบางรายชี้ว่า การที่ทรัมป์ไม่ได้ระบุอัตราภาษีที่ชัดเจนในการประกาศครั้งล่าสุด อาจเป็นสัญญาณว่านโยบายนี้ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาหรืออาจมีการปรับเปลี่ยนได้ อย่างไรก็ตาม การประกาศดังกล่าวได้ส่งสัญญาณเตือนไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกให้เตรียมพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อการส่งออกและนำเข้าของประเทศเหล่านั้น