ไขรหัสโลกดิจิทัล ด้วย ‘ไบโอเมตริกซ์’ เทคโนโลยีความปลอดภัยแห่งอนาคต
เทคโนโลยี ไบโอเมตริกซ์ กำลังถูกผสานรวมเข้ากับระบบบริหารจัดการตัวตนและการเข้าถึง (IAM: Identity and Access Manage) แต่การนำไบโอเมตริกซ์มาเชื่อมกับระบบที่มีอยู่เดิมจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และนี่คือ “4 วิธีเชื่อมไบโอเมตริกซ์กับระบบเดิมอย่างปลอดภัย” โดยณัฐวิชช์ ว่องสิทธิโรจน์ regional technical head จากบริษัท ManageEngine
23 สิงหาคม 2568- ปัจจุบัน เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์กำลังถูกผสานรวมเข้ากับระบบบริหารจัดการตัวตนและการเข้าถึง (IAM: Identity and Access Manage) ทั่วประเทศไทย เมื่อการจดจำใบหน้าและการสแกนลายนิ้วมือเริ่มได้รับการใช้งานอย่างแพร่หลาย ธุรกิจต่าง ๆ จึงสามารถยกระดับความปลอดภัยในการดำเนินงานได้ โดยไม่กระทบต่อประสบการณ์ของผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น รัฐบาลไทยได้นำระบบจดจำใบหน้าและม่านตา เข้ามาใช้งานโดยเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการควบคุมแรงงานข้ามชาติประมาณ 1.2 ล้านคน จากทั้งหมดราว 5.2 ล้านคนในประเทศ ขณะเดียวกัน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ได้ส่งเสริมให้ผู้ให้บริการทางการเงินนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เพื่อเสริมสร้างประโยชน์ต่อภาคการเงินและลดความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น
ความสำคัญที่เพิ่มขึ้นของเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนทั่วประเทศ โดยไบโอเมตริกซ์กำลังกลายเป็นวิธีที่ได้รับความนิยมในการยืนยันตัวตนและควบคุมการเข้าถึงในภาครัฐ ธนาคาร และสาธารณสุข ตลาดระบบไบโอเมตริกซ์ ซึ่งครอบคลุมทั้งการจดจำลายนิ้วมือ การจดจำใบหน้า และเทคโนโลยีอื่น ๆ กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากความต้องการโซลูชันด้านการระบุตัวตนและการยืนยันตัวตนที่เชื่อถือได้และปลอดภัย
แต่การนำไบโอเมตริกซ์มาเชื่อมกับระบบที่มีอยู่เดิมจำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ เนื่องจากหากดำเนินการไม่ถูกต้อง องค์กรอาจเผชิญกับช่องโหว่ใหม่ ปัญหาด้านความเป็นส่วนตัว และความเสี่ยงต่อการไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดต่าง ๆ
4 วิธีเชื่อมไบโอเมตริกซ์กับระบบเดิมอย่างปลอดภัย
- ยึดแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเป็นอันดับแรก
การยืนยันตัวตนด้วยไบโอเมตริกซ์ไม่ใช่เพียงแค่การแทนที่รหัสผ่านด้วยลายนิ้วมือหรือการจดจำใบหน้าเท่านั้น แต่เป็นการสร้างป้อมปราการดิจิทัลเพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญ เนื่องจากข้อมูลชีวมิติ เช่น ลายนิ้วมือหรือม่านตา มีความเฉพาะตัวและยากต่อการขโมยหรือเลียนแบบ การนำมาตรการรักษาความปลอดภัยเหล่านี้มารวมเข้ากับระบบ IAM ที่มีอยู่ จึงสามารถยกระดับความปลอดภัยโดยรวมขององค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จะเริ่มต้นได้อย่างไร: ระบุจุดที่เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์จะสามารถเพิ่มคุณค่าได้มากที่สุด ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลทางการเงินอาจได้รับประโยชน์จากการยืนยันตัวตนแบบหลายปัจจัย โดยผสานการใช้ไบโอเมตริกซ์ร่วมกับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (OTP) เพื่อให้การนำระบบใหม่มาใช้เป็นไปอย่างถูกต้องตั้งแต่แรก ควรมีการทดสอบโซลูชันไบโอเมตริกซ์ใหม่เป็นขั้นตอนอย่างเป็นระบบ
2. ความสะดวกสบายไม่ควรมีความสำคัญเหนือความเป็นส่วนตัว
จุดเด่นหลักของโซลูชันไบโอเมตริกซ์คือความสะดวกสบาย ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจดจำรหัสผ่านที่ซับซ้อนหรือกังวลว่าโทเค็นรักษาความปลอดภัยจะยังใช้งานได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ความสะดวกไม่ควรแลกมาด้วยความเป็นส่วนตัว แม้ว่าข้อมูลชีวมิติจะมีความปลอดภัยมากกว่าระบบรหัสผ่านแบบเดิม แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่จะถูกแฮ็กหรือถูกนำไปใช้ในทางที่ไม่เหมาะสมโดยผู้ไม่หวังดีได้เช่นกัน
วิธีดำเนินการ: ข้อมูลไบโอเมตริกซ์ทั้งหมดต้องได้รับการเข้ารหัสแบบครบวงจร (end-to-end encryption) ระบบต้องนำแนวคิด Zero Trust มาใช้ โดยให้สิทธิ์การเข้าถึงเฉพาะเมื่อมีการตรวจสอบยืนยันตัวตนอย่างเข้มงวดเท่านั้น ผู้ใช้งานควรได้รับการชี้แจงอย่างชัดเจนว่าข้อมูลชีวมิติของตนจะถูกจัดเก็บและนำไปใช้อย่างไร และควรมีทางเลือกให้กับผู้ใช้ เนื่องจากบางคนอาจยังคงต้องการใช้วิธีการรักษาความปลอดภัยแบบเดิมในการปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง
3. แก้ไขความท้าทายและปัญหาอย่างตรงไปตรงมา
ระบบไบโอเมตริกซ์ไม่ได้ปลอดภัยหรือแม่นยำสมบูรณ์ แม้แต่ระบบที่มีความปลอดภัยสูงก็ยังอาจเกิดข้อผิดพลาดได้ เช่น การปฏิเสธการเข้าถึงของผู้ใช้ที่ถูกต้อง (false rejection) หรือการอนุญาตให้ผู้ที่ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบได้ (false acceptance)
วิธีลดความเสี่ยง
- ใช้ไบโอเมตริกซ์ควบคู่ไปกับวิธีการรักษาความปลอดภัยอื่น เช่น รหัสผ่าน หรือฮาร์ดแวร์โทเค็น
- อัปเดตระบบไบโอเมตริกซ์อย่างสม่ำเสมอเพื่อรับมือกับภัยคุกคามที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา
- เลือกผู้ให้บริการที่สามารถรองรับความต้องการหลากหลาย ด้วยการสนับสนุนหลายรูปแบบ เช่น การจดจำลายนิ้วมือและการจดจำใบหน้า
4. เตรียมระบบไบโอเมตริกซ์ให้พร้อมรับอนาคต
เทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว องค์กรจึงต้องเตรียมรับมือกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เช่น ไบโอเมตริกซ์เชิงพฤติกรรม (การวิเคราะห์รูปแบบการพิมพ์หรือการเคลื่อนไหวของเมาส์) และการตรวจจับการฉ้อโกงด้วยปัญญาประดิษฐ์ (AI) บริษัทวิจัยการตลาด Gartner ประเมินว่า ภายในปี 2026 องค์กรถึง 30% เชื่อว่าระบบความปลอดภัยที่มีอยู่จะไม่เพียงพอที่จะรับมือกับการโจมตีจากดีฟเฟก (Deepfake) ที่สร้างด้วย AIและการโจมตีทางไบโอเมตริกซ์ใบหน้า
มองหาพันธมิตรด้านความปลอดภัยที่มุ่งมั่นในการนำงานวิจัยและโซลูชันล้ำสมัยมาปรับใช้ พร้อมทั้งตรวจสอบความสอดคล้องกับมาตรฐานต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง เช่น กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป (GDPR) หรือพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศไทย (PDPA) เพื่อให้แน่ใจว่าการดำเนินงานของคุณเป็นไปตามกฎหมายอยู่เสมอ
การผสานเทคโนโลยีไบโอเมตริกซ์เข้ากับระบบบริหารจัดการตัวตนและสิทธิ์การเข้าถึง (IAM) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะช่วยปูทางสู่อนาคตที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ด้วยการให้ความสำคัญกับความเป็นส่วนตัว ความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลง และเปิดรับแนวโน้มใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง องค์กรจะสามารถเปลี่ยนไบโอเมตริกซ์จากสิ่งที่เคยเป็นเพียงทางเลือก มาเป็นองค์ประกอบสำคัญในกลยุทธ์ด้านความปลอดภัยได้อย่างแท้จริง
บทความโดย
ณัฐวิชช์ ว่องสิทธิโรจน์
regional technical head, ManageEngine