โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

Business Today Thai Politics 13 สิงหาคม 2568

Businesstoday

อัพเดต 1 วันที่แล้ว • เผยแพร่ 1 วันที่แล้ว • Businesstoday

“ภูมิธรรม” บอกแม่ทัพภาค 2 รัฐบาลมีงบฯสนับสนุนไม่ต้องของบบริจาค

นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี กองทัพภาคที่ 2 โพสต์ขอรับการสนับสนุนลวดหนาม นายภูมิธรรม กล่าวว่า

อยากเรียนทำความเข้าใจกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จริง ๆ ในกระบวนการ หากคิดว่า ไม่พอ สามารถแจ้งมาที่กองทัพ หรือผู้บัญชาการทหารบกได้ และสิ่งเหล่านี้สามารถที่จะจัดได้ เพราะเป็นเรื่องที่ตนพูดอยู่ตลอดเวลากับผู้บัญชาการเหล่าทัพทั้ง 3 เหล่าทัพว่า อะไรที่ขาด หรือจำเป็นให้รีบทำเรื่องเสนอขึ้นมา รัฐบาลจะให้งบกลางช่วยเต็มที่

ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยมีเรื่องนี้เสนอมา ส่วนใหญ่เสนอมายังคณะรัฐมนตรี ซึ่งเรื่องเหล่านี้หากเสนอขึ้นมาอนุมัติหมด ไม่ว่า จะเป็นเรื่องของงบประมาณกำลังพลทั้งหมด จริง ๆ ยังไม่จำเป็นไปถึงขนาดขึ้นเพจเฟซบุ๊กขอให้ประชาชนมาช่วย ตนคิดว่าจะทำให้เกิดความไม่เข้าใจ รัฐบาลไม่มีอะไรขัดขวาง อยากจะเรียนให้แม่ทัพภาคที่ 2 ได้ทราบเพราะว่า ถ้าขาดจริง ๆ บอกมา

เรามีงบประมาณให้อยู่แล้ว และได้บอกไปแล้วว่า ตอนนี้อะไรที่สามารถเอามาจากตรงไหนได้ให้เอามาก่อน ตรงไหนขาดบอกมาจะใช้วิธีพิเศษที่สามารถพิจารณาให้ได้เลย เพื่อให้ได้ของ ซึ่งเรื่องนี้ตนคิดว่า จะทำให้เกิดความไม่เข้าใจกันได้

ทั้งนี้ ยืนยันว่า อะไรที่ขณะนี้เป็นเรื่องที่ต้องสร้างความเข้มแข็งให้กับกำลังพลในการรักษาอธิปไตยของประเทศ รัฐบาลนี้ไม่ขัดข้อง ได้มีการเปิดงบกลางให้ได้ใช้อยู่แล้ว

นายภูมิธรรม กล่าวว่า ตนอยากขอความกรุณา และกราบเรียนพี่น้องประชาชน ช่วยกันในการแก้ปัญหา ตนก็ไม่ได้รับความเป็นธรรมเหมือนกัน แต่ว่า อยู่ในฐานะหน้าที่เราพยายามจะนิ่งให้ได้มากที่สุด การที่บอกว่า ตนไปเข้าข้างเขมร บอกว่าระเบิดที่ลงที่โรงพยาบาล ไม่ใช่อย่างโน้นอย่างนี้ ไม่จริง และถ้าไปดูเทปทั้งหมดเขาถามว่า จะชี้แจงอย่างไรหรือไม่ ทำไมระเบิดถึงลงเฉพาะที่นี่

ตนก็บอกว่า เขาไม่ได้ยิงเฉพาะเจาะจงเป้าหมาย หากยิงเฉพาะเจาะจงเป้าหมายจะไม่มีการเสียชีวิตของพลเรือนเลย เป็นการยิงด้วยระเบิด BM- 21 ที่ออกมาทีจำนวนมากกระจัดกระจายไม่ได้ไปที่เป้าหมายทางทหาร นั่นหมายความว่า พลเรือนและโรงพยาบาล ตนคิดว่าอย่าเอาไปบิดเบือน ทำลายรัฐบาล ไว้วางใจสร้างความไม่ไว้วางใจรัฐบาล ทำให้ประชาชนในประเทศเกิดความแตกแยก

ซึ่งมีนักวิจารณ์การเมืองบางคน ไปพูดว่า ให้ตัดขาผม จะได้รู้ว่า หัวอกเป็นอย่างไร ทั้งหมดนี้ตนจะฟ้องหมด ซึ่งตนเป็นคนที่ไม่คิดจะฟ้องใคร แต่คิดว่าเรื่องนี้ต้องทำให้ประจักษ์อย่างที่เคยทำในอดีต เคยถูกโจมตี จนกระทั่งนายสนธิ ลิ้มทองกุล แพ้ตนในชั้นศาลฎีกา อันนี้เคยมาแล้วขอโทษมาแล้ว เรื่องนี้เหมือนกัน อย่าพูดอะไรพล่อย ๆ อย่าพูดอะไรทำให้เกิดความแตกแยก อย่าพูดอะไรที่ทำร้ายคนอื่น

อยากให้สื่อช่วยด้วยในสิ่งที่ตนพูดไป ไม่อย่างนั้นตนจะพูดในสิ่งที่ควรจะพูดเท่านั้น จะไม่พูดอะไรที่มากไปกว่านี้แล้ว เพราะพูดไปแล้ว มีการไปทำร้ายกัน เอาไปบิดเบือนกัน ตัดตอนบางส่วนที่พูด แล้วก็ไม่มีใครช่วยเหลือ คิดว่า ต้องทำให้เป็นธรรม ไม่อย่างนั้นก็ไม่เหมาะสม อันนี้เป็นสิ่งที่อยู่ในใจผม กำลังจะให้ทนายผมดำเนินการฟ้องทั้งหมด ที่บิดเบือนจากข้อเท็จจริง ซึ่งข้อมูลและสิ่งที่ผมให้สัมภาษณ์ทั้งหมดเก็บไว้หมดแล้ว

“มาริษ” ต่อสายถึงเลขาธิการ UN กดดันกัมพูชาร่วมเก็บกู้กับระเบิด

นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงการดำเนินการภายหลัง กำลังพลกองร้อยทหารพรานที่ 2610 รวม 7 นาย ซึ่งทำการลาดตระเวนในพื้นที่ช่องจุบตะโมก จังหวัดสุรินทร์ ประสบเหตุเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เมื่อวานนี้ (12 ส.ค.)

ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากพฤติการณ์ที่ไม่สุจริตใจของฝ่ายกัมพูชา และขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และละเมิดพันธกรณีตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (อนุสัญญาออตตาวา) และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศว่า เมื่อวานนี้ (12 ส.ค.) ตนได้โทรศัพท์หารือกับรัฐมนตรีต่างประเทศญี่ปุ่น ซึ่งญี่ปุ่นจะเป็นประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาออตตาวา ในเดือน ธ.ค. นี้

เพื่อขอให้ใช้กลไกในกรอบอนุสัญญาออตตาวา (Ottawa Convention) เพื่อไต่สวนการกระทำของกัมพูชา ซึ่งฝ่ายเลขาธิการของอนุสัญญาออตตาวา ได้มีหนังสือตอบกลับมาด้วยแล้ว และในวันศุกร์นี้ (15 ส.ค.) จะมีการพูดคุยกับประเทศผู้บริจาคในกรอบอนุสัญญาอิตตาวา

เพื่อให้เห็นการดำเนินการของกัมพูชา โดยเฉพาะในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย -กัมพูชา (General Border Committee) หรือ GBC ไทย-กัมพูชา ซึ่งไทยเสนอเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

แต่กัมพูชากลับปฏิเสธ พร้อมยังได้โทรศัพท์พูดคุยกับรัฐมนตรีต่างประเทศมาเลเซีย และสิงคโปร์ เพื่อขอให้ใช้กลไกอาเซียนกดดันให้กัมพูชาร่วมมือในการเก็บกู้ทุ่นระเบิด

นายมาริษ ยังย้ำว่า ในห้วงการเดินทางเยือนนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ตนเอง ได้พบเลขาธิการสหประชาชาติ หรือเลขาธิการ UN และรัฐมนตรีของญี่ปุ่นแล้ว และได้ประท้วงท่าทีความไม่จริงใจของกัมพูชาต่อทั้ง 2 บุคคล และในโอกาสต่าง ๆ เสมอมา

ส่วนกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศกัมพูชา ได้ส่งจดหมายร้องเรียน ต่อประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ หรือ UNSC และเลขาธิการสหประชาชาติ (UN) เมื่อ 11 สิงหาคมที่ผ่านมา

กล่าวหาฝ่ายไทยละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของกัมพูชา รวมถึงกฎหมายระหว่างประเทศ ข้อตกลงทวิภาคี และเงื่อนไขของการหยุดยิงที่ตกลงกันไว้อย่างต่อเนื่องนั้น นายมาริษ ยืนยันว่า ที่ผ่านมา

ฝ่ายกัมพูชาไม่มีหลักฐานใดที่แน่ชัด แต่ฝ่ายไทยมีข้อมูลชัดเจน เกี่ยวกับการยั่วยุของกัมพูชา และการวางทุ่นระเบิด และที่สุด UNSC ก็ไม่ได้มีการประชุมเรื่องนี้อีกครั้งแต่อย่างใด

“เท้ง” ไม่กล้าตอบแทน “อุ๊งอิ๊งค์” โยนถามเจ้าตัว ปมทิ้งเก้าอี้นายกฯ

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรคประชาชนในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกระแสข่าวการชิงลาออกของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม

ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย คดีกรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุนเซ็น ว่า การตัดสินใจจะลาออกหรือไม่ลาออก ต้องถามที่ตัวของนายกรัฐมนตรี ส่วนตัวตอบแทนไม่ได้ ส่วนแนวทางคำวินิจฉัยจะออกมาอย่างไรนั้น ก็คงอยู่ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ต้องรอติดตามสถานการณ์กันต่อไป

ส่วนมีการประเมินไว้หรือไม่ว่าหลังจากผ่านการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 จะมีการยุบสภา หรือนายกรัฐมนตรีชิงลาออก นายณัฐพงษ์ กล่าวว่า การตัดสินใจจะยุบสภาหรือไม่ อยู่ที่ทางรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย หากประเมินตามสถานการณ์ในปัจจุบัน ส่วนตัวเชื่อว่าอาจมีการพยายามพยุงรัฐบาลแบบนี้ไปก่อน แต่ว่าจะเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของรัฐบาล

“อนุดิษฐ์” จี้รัฐบาลเร่งฟ้อง ICC เอาผิด “กัมพูชา” ข้อหาใช้กับระเบิด

กล้าธรรม วันนี้ ( 13 ส.ค.) น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ ประธานยุทธศาสตร์พรรคกล้าธรรม(กธ.) ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุการณ์ที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดได้รับบาดเจ็บขาซ้ายขาด ระหว่างปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนบริเวณฐานจุ๊บตาโมก บริเวณปราสาทตาเมือนธม อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ ทำให้ตั้งแต่เดือน ก.ค.68 จนถึงวันนี้ ทหารไทยสูญเสียขาไปแล้วถึง 5 นาย ว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นค่อนข้างที่จะระบุได้ชัดเจน ว่า

ประเทศไทยเราไม่ได้เป็นคนวางกับระเบิดไว้แน่นอน เพราะที่ผ่านมาก็ไม่เห็นจะมีทหารเขมรไปเหยียบเลยสักคน โดยกัมพูชาจะดูตามพื้นที่ที่เราลาดตระเวน และอาศัยช่วงเวลาที่ไม่มีทหารปฏิบัติภารกิจ แอบเข้ามาวางกับระเบิดไว้ เลยทําให้ทหารไทยหยียบกับระเบิดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“รัฐบาลต้องเร่งดําเนินการนำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นฟ้องร้องต่อนานาชาติ เพราะเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนอนุสัญญาออตตาวาของฝ่ายกัมพูชาอย่างชัดเจน และสามารถที่จะเอาเรื่องดังกล่าวขึ้นสู่ศาลอาญาระหว่างประเทศ หรือ ICC ผมเชื่อว่า รัฐบาลและกองทัพคงจะมองประเด็นนี้อยู่ และก็ไม่น่าจะละเลย อย่างไรก็ตามควรสื่อสารกับพี่น้องประชาชนว่าอยู่ในขั้นตอนไหนแล้ว “น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าว

ส่วนที่มีกระแสข่าวว่ากัมพูชาพยายามจะใช้โดรนมาเพื่อสกัดกั้นการวิ่งขึ้นของเครื่องบินเอฟ16 ในกรณีที่อาจจะมีการสู้รบกันในอนาคตนั้น น.อ.อนุดิษฐ์ กล่าวว่า ข้อมูลตรงนี้ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ เพราะว่าความเร็วของเครื่องบินรบอย่างเอฟ 16 คงไม่มีใครสามารถบังคับให้โดรนมาเจอกันได้ทั้งตอนออกตัว หรือจะอยู่กลางอากาศก็ตาม เป็นไปได้ยากมาก ๆ ขอให้อุ่นใจได้ และไม่ต้องกลัว

29 ส.ค.ชี้ชะตา ‘แพทองธาร’ ศาล รธน.นัดลงมติปมคลิปเสียง

เมื่อวันที่ 13 ส.ค. 2568 ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาคดีที่น่าสนใจ เรื่องพิจารณาที่ 18/2568 กรณีประธานวุฒิสภาส่งคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีตรีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) หรือไม่

กรณีนี้สมาชิกวุฒิสภา รวม 36 คน เข้าชื่อเสนอคำร้องต่อประธานวุฒิสภา (ผู้ร้อง) ว่า ปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี (ผู้ถูกร้อง) กับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา เผยแพร่ทางสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 2568 ซึ่งผู้ถูกร้องแถลงข่าวยอมรับว่าเป็นเสียงการสนทนาของตนกับสมเด็จ ฮุน เซน จริง

แม้ผู้ถูกร้องจะแถลงข่าวในเวลาต่อมาว่าเป็นการพูดคุยทางโทรศัพท์แบบส่วนตัวโดยมีเจตนาที่จะเจรจาต่อรองอย่างนุ่มนวลเพื่อรักษาไว้ซึ่งความสงบสุขและอธิปไตยของไทยก็ตาม แต่ผู้เข้าชื่อเสนอคำร้องเห็นว่า

ผู้ถูกร้องแสดงออกถึงความนิ่งเอยและไม่ปฏิบัติหน้าที่โต้ตอบหรือกำหนดมาตรการรวมถึงการเจรจาระหว่างประเทศด้วยตนเองให้เป็นที่ประจักษ์ตามหน้าที่ความรับผิดชอบที่บุคคลผู้อยู่ในสภาวะ วิสัย และพฤติการณ์แห่งความเป็นนายกรัฐมนตรีพึงกระทำ เพราะเหตุแห่งความสัมพันธ์ส่วนตัวในลักษณะเป็นฝั่งเดียวกันกับกัมพูชา พร้อมที่จะทำตามหรือจัดการตามที่ฝ่ายกัมพูชาต้องการมาโดยตลอด ส่วนแม่ทัพภาคที่ 2 ผู้ถูกร้องเห็นว่าเป็นฝ่ายตรงกันข้าม

ผู้ถูกร้องไม่มีความชื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจชัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 422 ว่า ความเป็นรัฐมนตรีของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) และ (5) และขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้ถูกร้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ไว้ก่อนจนกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัย

ล่าสุด ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า เพื่อประโยชน์แห่งการพิจารณา กำหนดนัดไต่สวนพยานบุคคลจำนวน 2 ปาก คือ ผู้ถูกร้องและและเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในวันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม 2568 เวลา 10.30 นาฬิกา พยานบุคคลที่ศาลรัฐธรรมนูญเรียก หากไม่มาตามกำหนดนัดถือว่าไม่ติดใจเป็นพยานบุคคล และให้ผู้ร้องหรือผู้ถูกร้องที่ประสงค์จะแถลงการณ์ปิดคดีให้ยื่นเป็นหนังสือต่อต่อศาลภายในวันพุธที่ 27 สิงหาคม 2568 หากไม่ยื่นภายในกำหนดถือว่าไม่ติดใจยื่น

โดยศาลรัฐธรรมนูญนัดแถลงด้วยวาจาปรึกษาหารือ และลงมติ ในวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 เวลา 09.30 นาฬิกา นัดฟังคำวินิจฉัย เวลา 15.00 นาฬิกา เป็นต้นไป ณ ห้องพิจารณาคดี ชั้น 3 ศาลรัฐธรรมนูญ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ พรรษา 5 ธันวาคม 2550 อาคารราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ศาลรัฐธรรมนูญจะอนุญาตให้ผู้เข้าฟังการไต่สวนและฟังคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก Businesstoday

Business Today Thai Politics 14 สิงหาคม 2568

13 ชั่วโมงที่ผ่านมา

หนี้สาธารณะสหรัฐฯ พุ่งทะลุ 37 ล้านล้านดอลล์

16 ชั่วโมงที่ผ่านมา

การลงทุนจีนเสริมศักยภาพไทย สู่ศูนย์กลางส่งออกระดับโลก

16 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ราคาน้ำมันดิบปรับลด หลัง IEA คาดอุปทาน ปี 68 พุ่งสวนอุปสงค์อ่อน

18 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

ข่าวและบทความยอดนิยม