ตชด.กับงานจุดเทียนส่องสว่างที่กลางป่า
ต่อเนื่องมาจากตำนานทหารพราน ก็สมควรต้องต่อกันด้วยตำนาน ตชด.“ตชด. ย่อ มาจากตำรวจชายแดน” ลำนำอันคุ้นหูท่อนนี้เปนเพลงซึ่งท่านศิลปินแห่งชาติ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ รังสรรค์เนื้อร้องและทำนองไว้ นักร้องมีชื่อทั้งอดีตและปัจจุบัน ร้องสู่กันฟังกับมิตรรักแฟนเพลงมาเนิ่นนาน
เนื้อหาค่อนข้างจะสนุก และน่าอมยิ้ม เล่าถึง ตชด. หนุ่มคนหนึ่งเริ่มไปมีแฟนในหมู่บ้านดงดอยแสนห่างไกล อยากจะใช้เวลาพัฒนาความสัมพันธ์ ก็กลัวถูกเจ้านายสั่งย้าย
แต่อย่างไรก็ดีด้วยค่านิยมของชาวบ้านชาวเมืองในยุคสมัยหนึ่ง ซึ่งชอบและชื่นชมข้าราชการชนิดเจ้าขุนมูลนาย รายได้มีความแน่นอน ไปไหนมาไหนผู้คนนบไหว้เยิลยอในอำนาจตามตำแหน่งแห่งหน โดยเฉพาะตามที่หัวเมืองเศรษฐกิจดีๆ
ก็จะยังมีเหล่าว่าที่แม่ยายที่ยังปรารถนาดีผ่านกิริยาที่เรียกว่ามักชอบเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตลูกสาว พอตำรวจหนุ่มบอกว่า ผม เป็น ตชด. ซึ่ง แท้จริงแล้วย่อมาจาก ตำรวจตระเวนชายแดน ว่าที่แม่ยายก็ตบอบป้ากๆ หวาดใจว่าอยู่ชายแดนเสี่ยงภัยจะทำลูกสาวเปนแม่ร้างแม่หม้ายบ้างล่ะ อีกส่วนหนึ่งก็ว่าไปอยู่ที่ห่างไกลกันดารจะไปมีอะไรได้เชิดหน้าชูตา หาเบี้ยใกล้มือก็ยาก จะคอยขอดค่อนขัดขวางความรัก อันนี้แม่ยายร้ายๆแกดูเบา คนหนุ่มอย่างเราก็อย่าไปอินกะแกมาก แกไม่รู้อะไรสะแร้ววว55
ที่มาของการมีกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนนั้นเล่ากันอย่างสำนวนหนึ่งที่นิยมในวงการซึ่งไม่ยืนยันความจริงแท้ แต่ว่ามีความสนุกสนานและเจือสมกันดี ก็มีการเริ่มกันตรงที่ว่า เนื่องมาจากหลังจากสงครามวินาศใหญ่หลวงต่างๆของโลกจบลงแล้ว ประดาประเทศผู้ดีทั้งหลายในโลกก็ไปตกลงประชุมกันเพื่อหาทางสร้างสันติ และวางกลไกต่างๆเพื่อไม่ให้เกิดเหตุเลวร้ายจนมีสงครามครั้งใหม่พาให้ผู้คนต้องเดือดร้อนลำเค็ญขุกเข็ญลำบากกันอีกต่อไป
ก็เลยตกลงกันไว้ว่าบริเวณแนวชายแดนระหว่างสองประเทศใดใดนั้น ห้ามเด็ดขาดเลยไม่ให้มีกองกำลังทหารไปตั้งอยู่ เพราะเมื่อทหารต่อทหารมีความประจันหน้ากันแล้วโอกาสที่จะรบพุ่งกันหรือจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจลามไปเป็นสงครามมันมีสูง
อีกส่วนหนึ่งก็คือทหารมีกำลังอาวุธหนักในมือทำให้การปะทะกันเกิดขึ้นได้เร็วเกินไป ยังความเสียหายได้มาก หากไม่มีความยับยั้งใจในการลงไม้ลงมือ และในเวลาเดียวกันนั้นการรุกรานเข้าไปในประเทศอื่นก็ทำได้ง่ายและไวเพราะว่าหน่วยทหารไปตั้งประชิดกันอยู่ที่ชายแดนเสียแล้ว ก็อย่ากระนั้นเลย ให้ถอยออกมาห่างๆหลายสิบกิโลเมตร
อีทีนี้ส่วนภาระนี่ ก็ตกมาถึงเมืองไทยของเราซึ่งก็เป็นผู้ดีกับเขาด้วย จะต้องย้ายหน่วยทหารชายแดนเข้าข้างในล่ะสิบรรพชนของไทยเราต้องคิดหาทางรับมือเพราะว่าไอ่คำว่าผู้ดีแล้วตกลงกันโดยกติกานั้น เป็นลำพังเพียงแต่สิ่งของที่ขีดเขียนกันบนแผ่นกระดาษตามประสาสุภาพชนคนมีหิริโอตัปปะ ผลจะบังคับให้เกิดขึ้นกับคนที่ไม่ใช่ผู้ดีมันก็ยาก
ดูอย่างกรณีเขมรแคมปูเจียนี่ปะไรงวดนี้ยิงจรวดก่อนก็บอกยิงทีหลัง คนกลางมาเจรจาสรุปว่าตกลงหยุดยิงแล้วก็ยัง
ยิงอยู่ อนุสัญญาเขาห้ามวางกับระเบิดก็วางข้อตกลงกาชาดเขาห้ามทำลายโรงพยาบาลก็ทำ ฯลฯ ฯลฯ ของอย่างนี้จะไปเที่ยวไว้ใจได้อย่างไรคนข้างบ้าน!! เที่ยวถอนทหารไปตามนั้น พวกก็เสาะแสะลัดเลาะมาสร้างความเดือดร้อนกันต่อไม่จบสิ้น ก็ไม่มีใครเฝ้าชายแดนใกล้ชิดนี่!
สถานการณ์อย่างนี้ เราก็จะต้องหาทางพลิกแพลงแก้ไข ในกรณีอย่างสหรัฐอเมริกาและแคนาดานั้นพรมแดนเขาติดกัน แคนาดาเขาก็จะมีหน่วยหนึ่งซึ่งเรียกว่าหน่วยลาดตระเวน หรือ patrol -ใช้ตัวเอ ถ้าใช้ตัวอี แปลว่าน้ำมันเชื้อเพลิง
(นาทีนี้ก็ให้อนุสรณ์คำนึงถึงรถยนต์ตรวจการณ์ชนิดหนึ่งซึ่งสวยงามและเท่ห์ดีของฝ่ายญี่ปุ่นก็คือนิสสัน เพทโทรล
ซึ่งเปนรถยกสูง กระจกรอบ ขับสี่ล้อลุยเส้นทางไม่มีถนนได้ดี เปนที่มาของคำว่ารถตรวจการณ์ ซึ่งมาก่อนกาลของคำว่า SUV-MPV )
กองลาดตระเวนของพวกเขานี้เป็นกองกำลังพลเรือนไม่ใช้อาวุธหนัก ตระเวนดูตามแนวชายแดนว่ามีใคร
ลักลอบทำอะไรที่มันไม่เข้าท่าบ้าง เข้ารักษาทรัพยากรด้วย ระวังเหตุหลบหนีเข้าเมืองด้วย แต่ไม่ถึงขั้นจะไปฆ่าฟันอะไรกัน เว้นไว้แต่ยามจำเป็นหรือจวนตัวจริงๆ
ยังขี่ม้าลาดตระเวนกันอยู่ก็เยอะไป จนบัดนี้มีเทคโนโลยีทันสมัยก็ใช้อุปกรณ์ช่วยลาดตระเวนแทนม้า แต่ม้าก็ยังมี
ไม่ได้หมดสมัยไป เพราะเปนสัตว์ใช้หญ้า ไม่ใช้แบตเตอรี่ มีเสถียรภาพสูงใช่เล่น
ฝ่ายของไทยเรานั้น การจัดกองกำลังชายแดน ขอท่านได้พิจารณาคำว่า ‘พลเรือน’ ที่พูดไว้ในย่อหน้าก่อนให้เหมาะใจ เพราะตามคำศัพท์และความเข้าใจลึกซึ้งของคนไทย ทหารเราเรียกกันว่า ‘พลรบ’
เป็นสิ่งที่ตรงข้ามกับ ‘พลเรือน’ เพราะพลรบจะออกไปรบ ส่วนพลเรือนแกอยู่ที่เรือนอยู่ที่บ้าน
เป็นการแยกกันขาดมาตั้งแต่ไหนแต่ไร การใช้พลเรือนไปอยู่ชายแดนนั้น ย่อมทำได้นี่ _ก็ไม่ใช่ทหาร ไม่ใช่พลรบลองพิจารณาพลเรือนอย่างตำรวจดูก่อนปะไร ส่วนอันว่าตำรวจนั้น ท่านกำหนดแต่ดั้งเดิมมาว่าเปนข้าราชการพลเรือน มีหน้าที่ที่เรียกกันว่าพิทักษ์สันติราษฎร์คือความสงบสุขของราษฎร (ภายในประเทศ)
ไม่ได้ออกไปรบราฆ่าฟันกับอริราชศัตรู ภายนอกแต่อย่างใด เปนกองตำรวจ ไม่ใช่กองทัพ
ในยุคตั้งแต่ปฏิรูปบ้านเมืองคราวพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ห้า ก็ได้ทรงนำวิทยาการทางตำรวจหรือ Police จากเมืองนอกมาใช้เป็นอันมาก มีตำรวจฝรั่งมาฝึกมาสอนช่วยวางระบบ จนเมื่อตั้งกระทรวงทบวงกรมในยุคต่อมา ตำรวจนั้นท่านให้สังกัดตรงอยู่กับกระทรวงมหาดไทย (interior - กิจการภายในประเทศ) [ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปแล้วมหาดไทยก็ดูแลเรื่องพลเรือนมานานในขณะที่กลาโหมดูแลเรื่องการทหาร
แม้ว่าครั้งอยุธยาบทบาทของสองท่านนี้แทรกอีกอย่างหนึ่งคือกลาโหมดูแลหัวเมืองทางใต้มหาดไทยดูแลทางเหนือในทุกราชการ
บรรทัดนี้แทรกไว้เพื่อประโยชน์ทางเกร็ดประวัติศาสตร์ ว่าฝ่ายโกษาธิบดีเป็นอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทในราชการโบราณ โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็นพวกทำนองพระคลัง พวกพาณิชย์และในเวลาเดียวกันมักจะยุ่งเกี่ยวเรื่องการต่างประเทศที่ซับซ้อน เช่น ออกญาโกษาธิบดี (ปาน)ออกญาโกษาธิบดี (เหล็ก)
ท่านที่ดำรงตำแหน่งโกษาธิบดี แบ่งการดูแลไปคุมหัวเมืองอยู่ภาคตะวันตก ตะนาวศรี ในขณะที่มหาดไทยไปเหนือ กลาโหมไปใต้ และในเวลาเดียวกันโกษาธิบดีที่เเลดูเหมือนจะถนัดการทูตการค้านั้น เมื่อถึงคราวจำเป็นทุกคนรับงานเปนแม่ทัพ ออกไปรบทัพจับศึกกันได้ พระยาโกษาธิบดีในรัชกาลพระเจ้าตากสินมีสองท่าน ท่านในราชการออกไปรบญวนถึงเวียดนาม ส่วนพระยาโกษาธิบดีนอกราชการเปนจีนฮกเกี้ยน รับราชการโกษาฯมาแต่รัชกาลพระเจ้าบรมโกศ มีเรือสำเภาของตนเอง พระเจ้าตากท่านให้ทำราชการส่วนพระองค์]
จนลุล่วงมาถึงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองคำว่าตำรวจก็ยังเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ์และมีการใช้คำนี้ในราชการแผ่นดินปกติด้วย ในราชการฝ่ายราชสำนักด้วย
โดยความเป็นพลเรือนของตำรวจ มีความชัดเจนอย่างมากในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ต้นรัชกาล ตำรวจยังสังกัดกระทรวงมหาดไทย เครื่องแบบของตำรวจไม่เหมือนกับทหาร ทหารใช้เครื่องยศเครื่องหมายสีทอง ตำรวจใช้สีเงิน ทหารใช้ดาวห้าแฉก ตำรวจใช้ดาวแปดแฉก พระมหามงกุฎนั้นมีรัศมีของทหารไม่มี
ยศนายดาบทหารเลิกใช้มีเฉพาะในตำรวจ เพราะทหารคง จ่าสิบตรี จ่าสิบโท จ่าสิบเอกไว้ แต่ตำรวจ ใช้ยศรวบเลยว่า จ่า(นาย)สิบตำรวจ เลยมีนายดาบตำรวจมาคั่นเปนบันไดขั้นต่อไปได้
ข้อน่าสังเกตอีกส่วนในยุคนั้นคือว่า เมื่อเข้าถวายงานโดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในราชสำนักนั้น เรียกทหาร ว่า ราชองครักษ์ เรียกตำรวจ ว่า ตำรวจราชสำนัก ในรัชกาลก่อนยามเมื่อได้รับพระราชทานยศนายพล ตามธรรมเนียมแล้ววันรับพระราชทานสัญญาบัตรยศ พระเจ้าอยู่หัวจะทรงแตะบ่าสองข้างของผู้ได้รับยศในทำนองเดียวกันกับทางอังกฤษใช้พระแสงกระบี่แตะบ่าแต่งตั้งอัศวิน
ในสมัยรัชกาลที่ 9 นั้น สำหรับทหารยศนายพลทรงใช้พระคฑาจอมทัพแตะบ่า ส่วนนายตำรวจชั้นนายพลนั้นทรงใช้พระแสงขรรค์แตะบ่าแตกต่างกัน
จากรูปที่อัญเชิญมานี้ พระบาทสมเด็จพระชนกาธิเบศร์ฯ ทรงทรงใช้พระคฑาจอมทัพ แตะบ่าพลโท ชม ศรทัตตํ อีกรูปหนึ่งทรงใช้พระแสงขรรค์แตะบ่าพลตำรวจโท รุจิเรก สุนทรหิตานนท์
บรรทัดนี้ก็จะมาถึงบทสรุปตรงที่ว่าเกร็ดในประวัติศาสตร์นั้นน่าสนุกและ “เจือสม” เพราะเมื่อพิจารณาถึงประวัติความเป็นมา โดยรายละเอียดว่าตำรวจ มีความเป็นพลเรือน มีความแตกต่างจากพลรบ_ทหารดังข้อเท็จจริงที่ว่ามา
ข้อนี้หากมีการนำไปชี้แจงนานาชาติภาคีที่ตกลงให้ถอนกำลังทหารออกจากแนวชายแดนจริง นานาชาติก็ย่อมทำความเข้าใจได้ไม่ยาก และ ควรยินดีให้ความยินยอมให้มีกองกำลังตำรวจตระเวนชายแดนขึ้นรอบชายแดนประเทศเรา โดยไม่ขัดกับกฎกติกา
ซึ่งเขาก็หารู้ไม่ว่าขีดความสามารถของตำรวจตระเวนชายแดนนั้นก็สูงพอกันกับพลรบนั่นแหละแถมยังปฏิบัติราชการพิเศษคือการเป็นครูในหมู่บ้านห่างไกลในชุมชนชายขอบชายแดนอีกด้วย เป็นที่มาของคำว่าเป็นที่มาของคำว่าครู ตชด. และโรงเรียนสมัยก่อนนั้นมีชื่อตรงไปตรงมาว่า โรงเรียน(ประชาชน)ไกลคมนาคม
ต่อมาจึงใช้ชื่อให้ตรงไปตรงมาเพิ่มขึ้นตามผู้สอนว่าโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน ซึ่งตามพระราชดำริของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี สมเด็จย่า ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันแล้วนั้นทรงมีความห่วงใยใกล้ชิดกับงานชายแดนถิ่นทุรกันดารมาก พระราชประสงค์ให้มีการขยายโอกาสทางการศึกษา/การอนามัยไปยังพสกนิกรที่อยู่ห่างไกล ทรงให้ความอุปถัมภ์แก่ ตชด. อย่างมากมาย โดยพระบรมรูปในฉลองพระองค์เครื่องแบบ ตชด. ทรงคุณค่าที่อัญเชิญมา เป็นมงคลแก่บทความนี้สร้างขึ้นในปี 2546 โดยศิลปินประติมากรผู้ลือนาม อ.สัมพันธ์ อุทโยธา สร้างไว้สวยงามดั่งความฝัน
ที่อำเภอปง จังหวัดพะเยา มี โรงเรียน ตชด. ที่ชื่องามนามเพราะว่า โรงเรียนตำรวจตระเวนชายเเดนเบ็ตติดูเมน
ซึ่งถือกำเนิดขึ้นเมื่อ 50 กว่าปีก่อน ท่านผู้หญิงเบ็ตตี้ ดูเมน เป็นพระสหายของสมเด็จย่าได้ตามเสด็จขึ้นมาที่เมืองเหนือชายขอบแลเห็นความสำคัญของการศึกษาที่ควรจะทั่วถึงกัน จึงได้โดยเสด็จพระราชกุศลถวายเงินในการสร้างโรงเรียน จึงมีพระมหากรุณาให้ใช้ชื่อของท่านผู้หญิงเป็นชื่อโรงเรียน มีตำรวจตระเวนชายแดนเป็นครูใหญ่ชื่อ สิบ ตำรวจตรีมูล กองมะลิ ครู ตชด. ทั้งหลายล้วนทุ่มเทกำลังกายใจในราชการพิเศษสอนหนังสือนี้
แม้หลังมานี้รัฐบาลมีโครงการขยายโอกาสทางการศึกษาให้เด็กๆเรียนจบถึงม.3 แต่หมู่บ้านชายแดนหลายแห่ง ก็อยู่ไกลสถานศึกษาเหลือเกิน เด็กหลายคนไม่มีสัญชาติ เด็กๆไม่มีพาหนะเดินทางไม่มีเงินไปเรียนต่อโรงเรียนมัธยมในตัวอำเภอ
ครู ตชด.ท่านหนึ่งบนดอยเคยให้สัมภาษณ์กับ blog ครูบ้านนอกไว้แต่เมื่อ 15 ปีก่อนว่า
“อยากให้เด็กได้เรียนสูงกว่าป.6 แต่ก็ทำไม่ได้เพราะผมไม่มีวุฒิทางการศึกษา”
“ผมไม่ได้จบสายการศึกษามา ผมตั้งใจสอนได้ก็คือภาษาไทย บวกลบเลขต่างๆ…ไม่ให้พวกเขาโดนคนในเมืองหลอกลวง”
อ่านแล้วน้ำตาจะร่วง
อีกบทกลอนหนึ่งที่เล่าถึงความพยายามของนักรบที่ต้องจับดินสอกระดานดำสอนหนังสือ ด้วยหัวใจของความเป็นครูอย่างวิเศษ ครู ตชด. ขีดเขียนบอกเล่าความในใจของปวงเขา
“ครูเป็นเพียงนักรบจบแค่นี้
บุกป่าดงพงพีเข้ามาหา
ครูไม่มีทั้งสิ้นปริญญา
ครูมีแต่ศรัทธามาจากใจ..
…จะจุดเทียนส่องสว่างที่กลางป่า
ไม่เลือกว่าหน้าตาภาษาไหน
ถึงแม้งานจะหนักสักเพียงใด
ด้วยดวงใจของครูจะสู้ทน….”
บทความนี้แทนคำขอบคุณสำหรับ ตชด. ผู้ปิดทองหลังพระทุกๆท่าน ไม่ว่าจะในการรบครั้งนี้ หรือครั้งไหนๆ ไม่ว่าจะที่ผ่านมา หรือ ว่าในอนาคตครั้งใดๆ จะไม่มีผู้ใดลืมท่านเลย