ลึกกว่าที่คิด ‘3 เด็ก’หนีหอพักโรงเรียน จี้จุดย้อนทบทวนทั้งวงจร
ไม่นานมานี้เพิ่งมีกรณี“เด็กนักเรียน”หายออกจากหอพักโรงเรียนพร้อมกันถึง 3 ราย สร้างกระแสห่วงใยมีการแชร์ภาพ พร้อมช่วยกันสอดส่องติดตาม ซึ่งถือว่าโชคดีที่ทั้ง 3 ราย ถูกพบตัวในสภาพปลอดภัย ห่างจากบริเวณโรงเรียนประมาณ 5กม. แต่ยังมีคำถามตามมาถึง“สาเหตุ”
ทำไมเด็กทั้ง 3 คนถึงตั้งใจหนีออกไป กระบวนการหลังติดตามตัวพบและการค้นหาสาเหตุ เพื่อถอดบทเรียนปัญหา ลดโอกาสเกิดขึ้นซ้ำจึงจำเป็น
จากข่าวที่เริ่มต้นอย่างน่ากังวล แต่จบลงด้วยความโล่งใจนี้ สะท้อนประเด็นน่าสนใจไว้อย่างไรบ้าง “ทีมข่าวอาชญากรรม” มีโอกาสพูดคุยกับ นายเอกลักษณ์ หลุ่มชมแข หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย มูลนิธิกระจกเงา เผยที่มาของเด็กทั้ง 3 ราย ว่า ทั้งหมดเป็นเด็กบนพื้นที่ที่ราบสูง ซึ่งอยู่ห่างไกล เดิมทีในพื้นที่ใกล้เคียงกับหมู่บ้านของเด็กมีโรงเรียน แต่ปัจจุบันโรงเรียนถูกยุบไปแล้ว เนื่องจากมีจำนวนนักเรียนน้อย ทำให้เด็กต้องเดินทางไกลขึ้นเพื่อไปโรงเรียนในอีกพื้นที่หนึ่ง ซึ่งมีเด็กจากหลายหมู่บ้านมาเรียนร่วมกัน
ดังนั้น เด็กหลายคนต้องใช้เวลาเดินทางไป-กลับ ระหว่างบ้านและโรงเรียนเป็นเวลานาน ทำให้เลือกใช้วิธีพักอยู่ที่โรงเรียน ซึ่งเป็นลักษณะโรงเรียนกินนอน หรือโรงเรียนประจำ
“เมื่อเป็นลักษณะนี้ เด็กจึงต้องมีการปรับตัวให้เข้ากับคนหมู่มาก ซึ่งถึงแม้ว่าเด็กจะอยากอยู่กับเพื่อน แต่ท้ายสุดเด็กอาจมีความผูกพันกับชุมชนและบ้าน เลยทำให้เด็กไม่อยากอยู่ที่โรงเรียน ปัญหาเด็กหนีออกจากโรงเรียนนั้น ทางมูลนิธิหรือหน่วยงานอื่นๆ พบเจอเสมอ”
อย่างไรก็ถาม พบว่า 1 ใน 3 ราย มีปัญหาครอบครัวไม่สมบูรณ์ เด็กอาจไม่มีความพร้อมจะอยู่ที่บ้าน การมาอยู่ที่โรงเรียนในเด็กบางคนอาจเป็นทางออก แต่บางครั้งในเด็กบางคนก็อาจไม่ใช่ทางออก ทำให้นอกจากวิเคราะห์ตัวเด็กแล้ว ยังต้องดูต่อด้วยว่าโรงเรียนมีลักษณะสภาพแวดล้อมเป็นอย่างไร รวมถึงครู อาจารย์ที่บางครั้งอาจต้องรับดูแลเด็กจำนวนมาก พูดอีกลักษณะคือ ครูมีจำนวนน้อย แต่มีเด็กนักเรียนมาก ส่งผลให้ครูดูแลเด็กไม่ทั่วถึง
ในภาพกว้าง กลับกันมีเด็กมากมายที่มีปัญหาครอบครัว ปัจจุบันแม้เราอยู่ในยุคที่ผู้คนไม่อยากมีลูก หรือมีลูกยาก แต่ก็มีคนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ไม่ได้วางแผนครอบครัว หรือเรื่องอนามัยเจริญพันธุ์ เมื่อมีลูกเลยทำให้ไม่มีความพร้อม หรือมีปัญหาครอบครัวแตกแยกตามมา จึงตัดปัญหาส่งลูกเข้าโรงเรียนประจำ แต่ตัวโรงเรียนนั้น ด้วยปัจจัยแวดล้อมต่างๆ เช่น งบสนับสนุน หรือปริมาณบุคคลากรที่มี ทำให้มีลักณษะเป็นการดูแลเด็กกันตามสภาพ
ทั้งนี้ ย้อนกลับมากรณีเด็ก 3 ราย ในพื้นที่เชียงใหม่ที่หายตัวไปช่วงกลางคืน ในเวลานั้นมีการตั้งคำถามว่ามีครูเวรอยู่ที่โรงเรียนหรือไม่ คำตอบ คือ มีแต่ครูเวรคือครูที่สอนหนังสือตอนกลางวันนั้นและต้องมาเข้าเวรตอนกลางคืนด้วย ความสอดคล้องในการทำงานจึงดูไม่เหมาะสม ครูดูแลเด็กทั้งกลางวันและกลางคืนคงไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ พบว่าเด็ก 1 ใน 3 ราย มีอาการพัฒนาการช้า คำถาม คือ มีการส่งเด็กไปยังสถานที่ที่เหมาะสมหรือไม่ เมื่อเกิดเหตุเด็กหาย หรือหนีออกไป คงต้องดูในรายละเอียดให้ลึกว่าปัญหานี้มีเรื่องอะไรบ้าง
“เวลาเราเห็นข่าวเด็กหายไป 3 รายมันดูเป็นข่าวใหญ่ แต่เมื่อเรื่องจบ มันก็กลายเป็นแค่ปรากฏการณ์ มันไม่ได้ถูกมองว่า โรงเรียนที่รับเด็กมาดูแล มีกระบวนการอย่างไร งบประมาณเพียงพอหรือไม่ มีบุคคลากรเพียงพอหรือไม่ รวมถึงทำไมเด็กถึงต้องออกมาเรียนไกลบ้าน”
หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย เผยด้วยว่า ในแต่ละปีเฉพาะที่มูลนิธิกระจกเงารับแจ้งเด็กหายมีมากกว่า 300 ราย ในจำนวนนี้พบว่าส่วนใหญ่เด็กมีปัญหาครอบครัว เช่น พ่อแม่ไม่มีการวางแผนครอบครัว ไม่สนใจเลี้ยงลูก นำไปทิ้งไว้กับปู่ย่า ตายาย ด้วยความห่างระหว่างวัย อาจทำให้เด็กและคนเลี้ยงสื่อสารกันไม่เข้าใจ หากเด็กเหล่านี้หนีออกจากบ้านไป อาจถูกชักนำเข้าวงจรยาเสพติด การเล่นพนันออนไลน์ และความไม่น่าเชื่อ แต่เกิดขึ้นจริงคือ เมื่อเด็กที่เป็นวัยรุ่นมีการไปรับจ้างเปิดบัญชีม้า เพียงเพราะต้องการเงิน แต่ตัวเลือกในการหางานมีน้อย เพราะออกจากโรงเรียนตั้งแต่เด็ก รวมถึงไปทำงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์เพราะหลงเชื่อประกาศในอินเตอร์เนต อ้างว่าไปทำงานเป็นแอดมินตอบคำถามและดูแลตามเพจต่างๆ
อีกประเด็นที่มูลนิธิพบ คือ เด็กหลายคนที่หนีออกจากบ้านแล้วกลายเป็นคุณแม่วัยใส เพราะไปมีเพศสัมพันธ์ไม่ได้ป้องกัน และระหว่างนั้นก็ไม่ได้วางแผนชีวิตครอบครัวที่ดี เลี้ยงดูไม่ไหว ก็นำไปทิ้งไว้กับปู่ย่า ตายายเป็นทอดๆอีกที
หัวหน้าศูนย์ข้อมูลคนหาย ตั้งคำถามว่า การค้นหาและช่วยตามหาเด็กหายไปแล้ว ของมูลนิธิ หรือตำรวจเป็นปลายเหตุ ต้นทางจริงๆควรต้องกลับไปดูเรื่องการสร้างสถาบันครอบครัวให้แข็งแรงแล้วหรือไม่ รวมไปถึงระบบทางการศึกษา โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลเป็นยังไง เช่น ปริมาณครูสอดคล้องปริมาณเด็กที่ต้องดูแลหรือไม่ เงินเดือน และสวัสดิการครูเพียงพอหรือไม่ และสภาพแวดล้อมเป็นเช่นไร
“ในขณะที่กระทรวงศึกษาได้รับงบประมาณเยอะมากในแต่ละปี แต่เด็ก ๆ ในชุมชนและหมู่บ้านอาจยังไม่ถูกลงทุนทางการศึกษา เลยทำให้เด็กเหล่านั้นขาดจากการศึกษา เช่น กองทุนเพื่อเด็กต่าง ๆ มันอาจไม่ทั่วถึง หรืออาจไม่เพียงพอหรือไม่ เพราะสถานศึกษา คือ สถานที่ที่จะรับเด็กมาดูแล และให้ความรู้ต่อจากครอบครัว”
ดังนั้น หากมีการถอดบทเรียนกันขึ้นมา ตนเองมองว่าในภาพกว้างก็ต้องยอมรับความเป็นจริงในแง่ที่ส่วนหนึ่งของปัญหา เกิดมาจากสถาบันครอบครัวที่ไม่มีความพร้อมในการดูแลบุตร และขาดการวางแผนในครอบครัว เลยเป็นปัญหาที่คนในสังคมช่วยกันแก้.
ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน