กินตับหมูเสี่ยงคลอเรสเตอรอลจริงหรือ? รู้เท่าทันก่อนเลือกกิน
ตับหมูเป็นอาหารที่คนไทยนิยมมาก โดยเฉพาะในเมนูต้มเลือดหมู ผัดผักบุ้ง หรือย่างกินกับข้าวเหนียว แต่คำถามที่หลายคนสงสัยคือ ตับหมูมีคลอเรสเตอรอลสูงหรือไม่ และการกินบ่อยๆ ส่งผลอย่างไรต่อสุขภาพ?
ตับหมูคืออะไร?
ตับหมูเป็นอวัยวะภายในของหมูที่ทำหน้าที่กรองสารพิษและเมตาโบไลซ์สารอาหารต่างๆ มีลักษณะเนื้อนุ่ม กลิ่นเฉพาะตัว นิยมนำมาปรุงสุกในหลายเมนู จุดเด่นคือมีวิตามินและแร่ธาตุหลากหลาย เช่น วิตามินเอ ธาตุเหล็ก โฟเลต และวิตามินบีรวม
ตับหมูมีประโยชน์อย่างไร
เสริมธาตุเหล็ก ป้องกันโลหิตจาง
ตับหมูอุดมด้วยธาตุเหล็กชนิดฮีม (Heme Iron) ซึ่งดูดซึมได้ดีกว่าธาตุเหล็กจากพืช ช่วยสร้างเม็ดเลือดแดง เหมาะสำหรับผู้ที่เสี่ยงโลหิตจาง
วิตามินเอสูง ดีต่อสายตา
ตับหมูมีวิตามินเอสูง ช่วยบำรุงสายตา เสริมภูมิคุ้มกัน และบำรุงผิวพรรณ
บำรุงระบบประสาท
วิตามินบี1 บี2 และบี12 ในน้ำหนักปริมาณเพียง 100 กรัมของตับหมูเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน
ตับหมูกับคลอเรสเตอรอล
แม้ตับหมูจะมีประโยชน์ แต่ก็มีคลอเรสเตอรอลในปริมาณค่อนข้างสูง คือประมาณ 300-400 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม ซึ่งใกล้เคียงกับปริมาณที่ผู้ใหญ่ควรได้รับต่อวันตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก (ไม่ควรเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน)
ผลกระทบถ้ากินมากเกินไป
หากบริโภคตับหมูบ่อยครั้งหรือในปริมาณมาก โดยเฉพาะร่วมกับอาหารไขมันสูง อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะไขมันในเลือดสูงและโรคหัวใจ
แล้วกินได้หรือไม่?
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่า คนที่มีสุขภาพปกติสามารถกินตับหมูได้สัปดาห์ละ 1–2 ครั้ง ปริมาณประมาณ 50–100 กรัม โดยไม่ต้องกังวล แต่ควรหลีกเลี่ยงการกินร่วมกับของทอดหรือของมัน
ใครบ้างที่ควรระวังในการกินตับหมู
ผู้ที่มีภาวะไขมันในเลือดสูง
ผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ป่วยโรคเกาต์ (เนื่องจากตับหมูมีพิวรีนสูง)
ผู้ที่เป็นโรคตับหรือมีปัญหาด้านระบบย่อย
สรุป
ตับหมูเป็นอาหารที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะธาตุเหล็ก วิตามินเอ และวิตามินบี แต่ก็มีคลอเรสเตอรอลสูง จึงควรกินในปริมาณเหมาะสม โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัวหรืออยู่ในกลุ่มเสี่ยง ควรปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการก่อนบริโภคเป็นประจำ เพื่อให้ได้รับประโยชน์สูงสุดโดยไม่กระทบสุขภาพ