ถอดบทเรียนหุ้น MORE มหากาพย์ “ปล้นโบรกฯ” 5 องค์กรร่วมใจเร่งปิดคดี ทวงคืน 4.5 พันล้าน
มหากาพย์หุ้น MORE ในช่วงปลายปี 2565 ไม่ใช่เป็นเพียงวิกฤตการณ์ที่สร้างความเสียหายครั้งประวัติศาสตร์แก่วงการโบรกเกอร์ไทย แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่เผยให้เห็นช่องโหว่และรูปแบบอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่ซับซ้อนขึ้น
จากแผนการสร้างคำสั่งซื้อหุ้นมูลค่ามหาศาล แล้วผิดนัดชำระราคา ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อความเชื่อมั่นและทำให้หลายบริษัทหลักทรัพย์ต้องเผชิญภาวะวิกฤติอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน สร้างความเสียหายกว่า 4,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวได้นำมาสู่การบูรณาการความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างองค์กรหลัก ทั้งภาครัฐและภาคตลาดทุน เพื่อเร่งคลี่คลายคดีและปิดช่องโหว่ในระบบ
ความสำเร็จในการติดตามทรัพย์สินคืนให้แก่ผู้เสียหายและการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดได้เกือบทั้งขบวนการ นำไปสู่การยกระดับมาตรการกำกับดูแลที่เข้มข้นขึ้น เพื่อสร้างเกราะป้องกันและเรียกคืนความเชื่อมั่นให้กับตลาดทุนไทยอีกครั้ง
ย้อนรอยหุ้น MORE เกิดอะไรขึ้นบ้าง ?
ในช่วงปลายปี 2565 ตลาดทุนไทยได้เผชิญกับกรณีอื้อฉาวของหุ้น MORE ซึ่งถูกยกให้เป็นการฉ้อโกงบริษัทหลักทรัพย์ (โบรกเกอร์) ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ สร้างความเสียหายอย่างรุนแรงทั้งต่อตัวโบรกเกอร์และนักลงทุนรายย่อยจากความผันผวนของราคาหุ้น
จุดเริ่มต้นของมหากาพย์ครั้งนี้เกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2565 เมื่อมีการตรวจพบปริมาณการซื้อขายหุ้น MORE ที่หนาแน่นผิดปกติ โดยมีลักษณะเป็นการตั้งคำสั่งซื้อจำนวนมหาศาลผ่านโบรกเกอร์หลายแห่งในเวลาไล่เลี่ยกัน กระแสข่าวในขณะนั้นชี้ว่า อาจมีนักลงทุนรายใหญ่ใช้บัญชีตัวแทน (นอมินี) เข้ามารับซื้อหุ้นที่ถูกขายออกมาจาก "บัญชีมาร์จิ้น" หรือบัญชีที่กู้ยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อมาซื้อหุ้น คิดเป็นมูลค่าความเสียหายรวมสูงกว่า 4,500 ล้านบาท
เพียงไม่นานหลังจากนั้น ก็เกิดการ "ผิดนัดชำระค่าหุ้น" จากฝั่งผู้ซื้อในหลายโบรกเกอร์ แม้ว่าตามระบบแล้ว สำนักหักบัญชีจะดำเนินการชำระราคาและส่งมอบหลักทรัพย์ระหว่างโบรกเกอร์ไปแล้ว แต่โบรกเกอร์ฝั่งซื้อกลับไม่ได้รับเงินจากนักลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อเข้ามา ทำให้โบรกเกอร์เหล่านั้นต้องรับภาระความเสียหายไว้เอง
ผลกระทบจากเหตุการณ์นี้รุนแรงและขยายวงกว้าง จนทำให้บางบริษัทหลักทรัพย์ต้องปิดกิจการ ขณะเดียวกัน หน่วยงานกำกับดูแลทั้ง ตลท., ก.ล.ต. และ ปปง. ได้ร่วมกันเข้าตรวจสอบ จนนำไปสู่การอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง
เหตุการณ์ทั้งหมดได้ทิ้งบาดแผลลึกไว้ให้กับอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของไทย ทำให้หลายบริษัทต้องตั้งสำรองหนี้สูญจำนวนมหาศาล และบางแห่งถึงกับต้องปิดตัวลงอย่างน่าเสียดาย
ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยกระดับมาตรการไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ
อัสสเดช คงสิริ กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า คดีหุ้น MORE ถือเป็นกรณีตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มของการกระทำความผิดในตลาดทุนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น และทำให้เกิดผลกระทบกับผู้ที่เกี่ยวข้องได้ในวงกว้าง
ซึ่งการดำเนินการกับการกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าวจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเข้มแข็งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อันสะท้อนให้เห็นว่า การบูรณาการความร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานในกระบวนการยุติธรรมและหน่วยงานภาคตลาดทุนมีความสำคัญและมีความจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน
สำหรับคดีหุ้น MORE นอกเหนือจากการดำเนินการตามขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์แล้ว ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังได้เป็นตัวกลางในการประสานความร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรม เพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบการกระทำความผิด การรวบรวมพยานหลักฐาน และการแลกเปลี่ยนข้อมูลสำคัญระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ รวมทั้งช่วยทำหน้าที่สื่อสารความคืบหน้าทางคดีให้ผู้ที่เกี่ยวข้องในตลาดทุนและผู้ลงทุนได้รับทราบ เพื่อเสริมสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนไทย
อัสสเดช กล่าวเสริมว่า สำหรับการป้องกันการกระทำผิดลักษณะเช่นนี้ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ยกระดับมาตรการกำกับดูแลด้วยการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายหลักทรัพย์
อาทิ มาตรการ Auto Pause รายหลักทรัพย์ มาตรการ Minimum Resting Time การเปิดเผยข้อมูลหลักทรัพย์ที่วางเป็นประกันการชำระหนี้ในบัญชีมาร์จิ้น ตลอดจนการเปิดเผยข้อมูลผู้ลงทุนที่ส่งคำสั่งซื้อขายไม่เหมาะสมแก่บริษัทหลักทรัพย์สมาชิกทุกราย เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์สามารถใช้ประกอบการบริหารความเสี่ยงและร่วมกันป้องปรามพฤติกรรมดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที
ความร่วมมือ 5 องค์กร ช่วยปิดเคส MORE ได้เร็ว
พิเชษฐ สิทธิอำนวย นายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย (ASCO) กล่าวว่า ASCO เป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่สำคัญในการประสานงานกับหน่วยงานกำกับดูแลให้กับบริษัทหลักทรัพย์สมาชิกที่ได้รับความเสียหาย ตั้งแต่ช่วงเริ่มเกิดเหตุการณ์ของการกระทำความผิด จนสามารถรวบรวมหลักฐานในการร้องทุกข์กล่าวโทษได้ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ASCO ได้นำเสนอมาตรการต่าง ๆ ต่อหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อปิดความเสี่ยงไม่ให้เกิดเหตุซ้ำขึ้นอีกในอนาคต
และที่สำคัญ คือ การจัดตั้ง Securities Data Exchange Platform (SDEP) เพื่อให้บริษัทหลักทรัพย์รับทราบข้อมูลลูกค้าที่มีความเสี่ยงในระดับอุตสาหกรรม ทั้งข้อมูลวงเงิน คุณภาพหลักประกัน มูลหนี้ และประวัติการชำระราคา ด้วยการจัดตั้ง Platform การแลกเปลี่ยนข้อมูลแบบ Decentralized คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายใน 1 ก.พ. 2569
พลตำรวจโท จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นคดีอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีความซับซ้อน ผู้กระทำความผิดมีความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับตลาดหุ้นและใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นตัวช่วยในการกระทำความผิด ส่งผลกระทบต่อตลาดทุนและสร้างความเสียหายเป็นวงกว้างจำนวนมาก
บช.ก. ได้ระดมผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานในสังกัดและประสานงานอย่างใกล้ชิดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทหลักทรัพย์ ก.ล.ต. ปปง. และ DSI เพื่อเร่งรัดดำเนินการระงับยับยั้ง ความเสียหาย จนสามารถดำเนินคดีและมีความเห็นสั่งฟ้องผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 42 ราย
ถือเป็นคดีปั่นหุ้นที่สามารถดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดได้จำนวนมากที่สุดและสามารถยึดอายัดทรัพย์สินได้สูงถึง 4,500 ล้านบาท ความสำเร็จนี้แสดงให้เห็นว่าการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังและการประสานความร่วมมือระหว่างหน่วยงานทำให้สามารถยับยั้งการกระทำความผิดและดำเนินคดีได้อย่างทันท่วงที
เทพสุ บวรโชติดารา เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กล่าวว่า ความสำเร็จจากการประสานความร่วมมือข้ามหน่วยงาน (inter-agency cooperation model) ในการดำเนินคดีหุ้น MORE อันนำไปสู่การป้องกันความเสียหายและติดตามทรัพย์สินได้อย่างรวดเร็ว โดยสามารถระงับธุรกรรมต้องสงสัยได้ภายในวันเดียว
ลดเวลาดำเนินการจากเดิมที่ใช้เวลา 2-3 วัน ส่งผลให้สามารถตัดวงจรอาชญากรรม ยับยั้งการกระทำผิดทางเศรษฐกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างความเชื่อมั่นในตลาดทุนไทยด้วยความโปร่งใสในการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดและเป็นระบบ
สำหรับคดีหุ้น MORE ศาลมีคำสั่งคืนหรือชดใช้ทรัพย์สินให้บริษัทหลักทรัพย์ผู้เสียหาย 10 ราย รวมมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านบาท แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการบูรณาการข้อมูลและอำนาจหน้าที่ระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ตลาดทุนไทยมีความน่าเชื่อถือและมั่นคงมากขึ้นในระยะยาว
พันตำรวจตรี ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า คดีหุ้น MORE เป็นพัฒนาการของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้กระทำผิดอาศัยความรู้ ความชำนาญ เกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์ หรือ อยู่ในแวดวงนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ รู้ขั้นตอนวิธีการซื้อขาย ชำนาญจนมองเห็นช่องโอกาสที่จะทุจริตได้
ความสำเร็จของเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีการบูรณาการหลายหน่วยงาน ยกระดับมาตรฐานการปราบปรามอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ทำให้ระงับยับยั้งความเสียหายของบริษัทหลักทรัพย์ทั้ง 10 บริษัท รวมความเสียหายประมาณ 4,500 ล้านบาท ที่จะต้องชำระให้กับผู้ขายหลักทรัพย์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ร่วมกระทำผิดด้วย
โดยใช้มาตรการทางแพ่งของกฎหมายฟอกเงิน ในการร้องต่อศาลเพื่อให้มีคำสั่งให้ทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินและนำมาเฉลี่ยคืนให้กับผู้เสียหาย และยังมีการดำเนินคดีอาญากับกลุ่มผู้ร่วมกระทำผิดด้วย ตามประมวลกฎหมายอาญา และกฎหมายฟอกเงิน เท่ากับผู้กระทำผิดไม่ได้ทรัพย์สินตามที่ตั้งใจไว้และยังอาจจะต้องรับโทษในทางอาญาในสถานหนักด้วย
อ่านข่าวหุ้น และการลงทุน กับ Thairath Money ได้ที่
https://www.thairath.co.th/money/investment
ติดตามเพจ Facebook : Thairath Money ได้ที่ลิงก์นี้
https://www.facebook.com/ThairathMoney
อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : ถอดบทเรียนหุ้น MORE มหากาพย์ “ปล้นโบรกฯ” 5 องค์กรร่วมใจเร่งปิดคดี ทวงคืน 4.5 พันล้าน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
- BH บวกแรง 3 วัน พุ่งทะลุ 18% แม้งบไตรมาส 2/68 ชะลอตัว เปิด 5 เหตุผล ทำไมหุ้นโรงพยาบาลยังไปต่อ
- ไทย-กัมพูชา ประกาศหยุดยิง จับตาโต๊ะเจรจา “ภาษีทรัมป์” หุ้นไทยไปทางไหนต่อ?
- ชายแดน “ไทย-กัมพูชา” ปะทุ สะเทือนหุ้นอะไรบ้าง ? เช็กด่วน! 8 กลุ่มธุรกิจ เสี่ยงได้รับผลกระทบ
- หุ้นไทย รอดหรือร่วง ลุ้นคำตอบดีล “ภาษีทรัมป์” โค้งสุดท้ายก่อนเส้นตาย 1 ส.ค.นี้ หวังอัตราภาษีฯ 20%
- ส่อง Dividend Yield หุ้นแบงก์ ธนาคารไหนจ่ายปันผลคุ้มสุด ? (ปี 64 - 68)
ตามข่าวก่อนใครได้ที่
- Website : www.thairath.co.th
- LINE Official : Thairath