โบรกชี้ไทยได้เรตภาษีสหรัฐฯ 19% เอื้อการแข่งขัน เป็นบวกต่อหุ้นนิคมฯ
นายวทัญ จิตต์สมนึก ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไทยเผชิญภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯที่ 19% มองเป็นระดับที่ยังสามารถแข่งขันได้เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ อาทิ เวียดนาม 20%, มาเลเซีย 19% และฟิลิปปินส์ 19%
โดย SET ที่ฟื้นขึ้นมา 17% จากจุดต่ำสุดเชื่อว่า Price In ไปพอสมควรแล้ว แต่ยังมองนิคมอุตสาหกรรมน่าสนใจ ด้วยราคาหุ้นยังไม่กลับไปเท่ากับก่อนประกาศ Reciprocal Tariff (AMATA WHA) ผสานกับ Backlog ในมือยังแน่น
ทั้งนี้ ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 330 จุด (-0.7%) ตลาดจับตาดูท่าทีเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศก่อนที่จะเข้าใกล้เส้นตายภาษี ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.97% ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการค้าระหว่างสหรัฐฯกับนานาประเทศ
เมื่อวานที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานเงินเฟ้อประจำเดือน มิ.ย. ขยายตัว 2.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน มากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ที่ 2.5% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 2.8% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน มากกว่าคาดการณ์ที่ 2.7% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน
พร้อมกับรายงานผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่ 2.18 แสนรายต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 2.24 แสนราย ภาพรวมสะท้อนถึงนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่อาจจะยังไม่เร่งผ่อนคลายเร็วๆ นี้ ด้วยแรงงานยังแข็งแกร่งผสานเงินเฟ้อขยายตัว ทำให้ Dollar Index แข็งค่าต่อเนื่อง
และอีกนัยยะหนึ่งอาจกดดันเงินบาทอ่อนค่า จึงระมัดระวังการไหลออกของกระแสเงินทุนต่างชาติ ล่าสุด CME FED Watch ให้น้ำหนักราว 61% ที่ FED จะคงดอกเบี้ยระดับเดิมในการประชุมเดือนกันยายน สำหรับการเคลื่อนไหวของตลาดพันธบัตรพบว่า Yield เร่งขึ้น
สำหรับสถานการณ์ภาษีนำเข้าของสหรัฐฯกับนานาประเทศพบว่าสหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าจากไทยในอัตรา 19% ลดลงเมื่อเทียบกับก่อนหน้าที่เคยประกาศว่าจะเก็บไทยมากถึง 36% ระดับที่ 19% ก็ถือว่าใกล้เคียงกับภูมิภาค อาทิ ไตหวัน 20% เวียดนาม 20% ฟิลิปปินส์ 19% มาเลเซีย 19% และ อินโดนีเซีย 19%เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม พม่าเผชิญค่อนข้างสูงที่ 40% ด้วยระดับที่ใกล้เคียงกับภูมิภาค ก็เชื่อว่าทำให้ไทยสามารถแข่งขันในได้กับการส่งออกและการย้ายฐานผลิตมายังประเทศไทย กลุ่มส่งออกและนิคมอุตสาหกรรมที่ถูกกดดันก่อนหน้าก็ยังมองเป็นโอกาสสะสมได้ด้วย Valuation ที่ไม่แพง
SET ฟื้นจากจุดต่ำ
ส่วน SET INDEX เชื่อว่าที่ปรับขึ้นมาจากจุดต่ำสุดราว 17% สะท้อนการเจรจาภาษีไปในระดับหนึ่งแล้วเมื่อผสานกับ PE ที่ค่อนข้างสูง (ซื้อขายราว 13.9x) ทำให้ Upside ด้านบนจะเริ่มจำกัด ในขณะที่การเติบโตของเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง ซึ่งธนาคารแห่งประเทศประเมินว่าจะขยายตัวเพียง 1.6% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน (ครึ่งแรกขยายตัวได้ 2.9% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน) และปีหน้าขยายตัว 1.7% เทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อน เป็นระดับที่ ไม่ได้สูงมากนัก วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,230 – 1,250 จุด
จิตวิทยาการลงทุนเริ่มเป็นลบจากการที่ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับลง (Nikkei -1% Korea -2.4%) ประเมินตลาดหุ้นทั่วโลกสะท้อนการเจรจาการค้าไปแล้วหลังจากนี้จะให้น้ำหนักกับผลประกอบการและทิศทางเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะเงินเฟ้อสหรัฐฯจะเร่งขึ้นหรือไม่เพราะ Tariff Rate ใหม่กำลังจะเริ่มขึ้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป จะกดดันทิศทางกระแสเงินทุนและการใช้นโยบายการเงินเข้มงวดจาก FED ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังแนะทยอยลดสัดส่วนการลงทุน
ชูหุ้นนิคมฯ ดาวเด่น
และควรเพิ่มน้ำหนักในหุ้น Defensive เพื่อเตรียมรับกับสภาวะเศรษฐกิจที่อาจไม่ดีเท่าใดนักในครึ่งหลัง (BDMS) อย่างไรก็ตามระยะสั้นอาจเลือก Trading ในกลุ่มนิคมอุตสาหกรรม (AMATA WHA) ราคาหุ้นยังฟื้นตัวไม่มากและยังมี Upside เทียบกับวันประกาศ Reciprocal Tariff ขณะที่ Valuation ยังถูก ซื้อขายเพียง 6.4x , 10x PE
AMATA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 33.50 บาท) มองว่าผลประกอบการในช่วง 1-2 ปีนี้ยังได้รับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯไม่มากนัก เนื่องจากมี Backlog ที่รอรับรู้รายได้อยู่กว่า 24,000 ล้านบาท ขณะที่การขายที่ดินในช่วงช่วงครึ่งแรกปี 68 ทำได้กว่า 750 ไร่ โดยระยะสั้นได้แรงหนุนจากการประกาศภาษีของสหรัฐฯ
WHA (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 5.3 บาท) การขายที่ดินยังทำได้ดี โดยคาดว่าจะออกมาเกินกว่าเป้าที่บริษัทคาดไว้ หลังจากในช่วงครึ่งแรกปี 68 ทำได้กว่า 1,200 ไร่ และมีการเจรจารอเซ็นสัญญาอีกกว่า 1,400 ไร่ ซึ่งยังไม่รวมลูกค้าในกลุ่ม Data Center ที่มีการเจรจาอีกกว่า 1,000 ไร่