โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

การเมือง

ฉบับเต็ม ศาล รธน.มติ 6 ต่อ 3 สั่ง “พิเชษฐ์” พ้น ส.ส.-แบนการเมือง 10 ปี

ฐานเศรษฐกิจ

อัพเดต 22 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 15 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. ที่ศาลรัฐธรรมนูญ ตุลาการฯออกนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัย เรื่องพิจารณาที่ 17/2568 กรณี สส.ฝ่ายค้าน รวม 121 คน (ผู้ร้อง) เสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม เพื่อขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยว่า กรณีกล่าวหาว่า นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ในฐานะรองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 (ผู้ถูกร้อง) เป็นผู้ให้ความเห็นชอบการจัดทำโครงการและให้มีการเสนองบประมาณของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 3 โครงการ

โดยผู้ถูกร้องมีส่วนโดยทางตรง และทางอ้อม ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 มีการเสนอ การแปรญัตติ หรือการกระทำด้วยประการใด ๆ ที่มีผลให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภาหรือกรรมาธิการ มีส่วนไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่าย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง หรือไม่

ทั้งนี้นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน สส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย รองประธานสภาฯ คนที่ 1 มิได้เดินทางมาศาล แต่มอบหมาย นายเมธี ใจสมุทร ผู้แทนเดินทางมารับฟังคำวินิจฉัยแทน

ศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โครงการทั้ง 3 ผู้ถูกร้องลงนามเสนอประธานสภาฯ 2568 ของสำนักงานเลขาธิการสภาฯ การดำเนินโครงการทั้ง 3 มีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหารโครงการ โดยผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษา กำกับ ดูแล แต่ละพื้นที่ โครงการทั้ง 3 จัดขึ้นที่ จ.เชียงราย และจังหวัดอื่น ๆ โดยจัดที่เชียงราย 8 รุ่น ในปี 2569

ผู้ถูกร้องเห็นชอบ จัดทำคำขอตั้งงบประมาณ 2569 โครงการเยาวชน โครงการประชาชน และโครงการสตรี เสนอของบประมาณ ต่อมาในการแก้ไขงบประมาณปี 2569 ของโครงการทั้ง 3 โดยตัดถ้อยคำว่าสัมมนา หรืออบรมออก โดย ครม. ปรับลดวงเงินทั้ง 3 และสำนักนโยบายและแผน สภาฯ เสนอคำขอแปรญัตติ กลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ผู้ถูกร้องลงนาม ปรากฏข้อความว่า ให้เสนอแปรญัตติ

ต่อมา 16 มิ.ย. 2568 ผู้ร้องเสนอความเห็นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการกระทำดังกล่าว ต่อมาเมื่อ 25 มิ.ย. 2568 สำนักนโยบายและแผน เสนอถึงคำขอให้แปรญัตติว่า การเสนอคำแปรญัตติต้องไม่ฝ่าฝืน มาตรา 144 ซึ่งกลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 มีหนังสือถึงประธานสภาฯ ไม่ประสงค์เสนอคำแปรญัตติ สำนักนโยบายและแผน ชงเลขาธิการสภาฯ เพิ่มงบประมาณปี 2569 ในการประชุมกลุ่มงานเลขาธิการสภาฯ ครั้งที่ 3/2568 มีหน่วยงานยกเลิกคำของบประมาณปี 2569 จำนวน 10 รายการ รวมถึงโครงการทั้ง 3 ด้วย

โดย กมธ.วิสามัญพิจารณางบประมาณ 2569 พิจารณาคำขอแปรญัตติงบ 69 ของโครงการทั้ง 3 ปรากฏเมื่อ 18 ก.ค. 2568 คู่กรณีเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เลขาธิการสภาฯ ขอถอน 3 โครงการออก และ กมธ.ให้ปรับลดวงเงินโครงการทั้ง 3 และยกเลิกงบประมาณดังกล่าวในร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569

ข้อพิจารณาเบื้องต้น กรณีสำนักงานเลขาธิการสภาฯ ถอนโครงการในงบ 69 ตามรัฐธรรมนูญต้องจำหน่ายคดี ไม่มีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยคดีหรือไม่ ข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ปรากฏว่า ในการพิจารณาของ กมธ.งบประมาณ 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ขอถอนโครงการทั้ง 3 และเลขาธิการสภาฯ ขอปรับลดงบประมาณเหลือ 0 บาท มีผลให้เป็นการยกเลิกการจัดสรรงบประมาณ 2569 ทั้ง 3 โครงการ แม้ว่าโครงการทั้ง 3 จะเป็นมูลเหตุคดีนี้ แต่ไม่มีผลทำให้ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วลบล้าง ไม่มีผลต่อการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญว่า ฝ่าฝืนมาตรา 144 หรือไม่ กรณีมีเหตุให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป

โดยศาลรัฐธรรมนูญ พิจารณาแบ่งข้อเท็จจริงออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่

หนึ่ง ผู้ร้องมีส่วนในการเสนอแปรญัตติ หรือกระทำด้วยใด ๆ ในโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ประการแรก ผู้ถูกร้องเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบในโครงการทั้ง 3 หรือไม่

ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า ในการเสนองบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 ผู้ถูกร้องมอบหมายให้ที่ปรึกษาคณะทำงานรองประธานสภาฯ ดำเนินการจัดทำโครงการ และผู้ถูกร้องลงนามให้ความเห็นชอบ ในการจัดทำโครงการทั้ง 3 เมื่อเสนองบประมาณรายจ่าย 2569 ในชั้นการพิจารณาของ ครม. มีการปรับลดวงเงินงบประมาณ ผู้ถูกร้องลงนามให้เสนอคำแปรญัตติ

ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการ ให้เจ้าหน้าที่จัดทำโครงการเสนองบ หรือแปรญัตติประจำปีงบประมาณ เพียงแค่มอบนโยบายให้สำนักเลขาธิการสภาฯ อีกทั้งการลงนามในบันทึกข้อความ แต่ไม่ได้เขียนข้อความว่า ให้เสนอคำแปรญัตติ และไม่ได้ประทับตราคำว่าเห็นชอบ แต่เป็นบุคคลอื่นเขียน และประทับตราดังกล่าว

พยานบุคคลเบิกความยอมรับว่า ผู้ถูกร้องมีดำริให้ดำเนินโครงการทั้ง 3 มอบหมายให้ตนเองดำเนินการ เจือสมกับคำกล่าวอ้างของพยานอีก 2 คน เบิกความสอดคล้องกันว่า ในการเสนองบประมาณปี 2568 เจ้าหน้าที่สำนักงานเลขาธิการสภาฯ หารือกับผู้ถูกร้อง ก่อนเสนอหรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ซึ่งผู้ถูกร้องมีดำริให้เสนอ และแปรญัตติ

ส่วนการเสนองบประมาณปี 2569 พยานบุคคล 2 ปากเบิกความสอดคล้องกันว่า ปีงบประมาณ 2569 กลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ได้สอบถามไปยังผู้ถูกร้องว่า ประสงค์ดำเนินโครงการทั้ง 3 ดังกล่าวต่อเนื่องหรือไม่ และผู้ถูกร้องมีดำริให้จัดดำเนินโครงการทั้ง 3 ต่อ

โดยพยานบุคคล เบิกความยอมรับว่า การเสนอบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภา 1 ลงวันที่ 13 พ.ค. 2568 ตนเขียนข้อความว่า ให้เสนอคำแปรญัตติ หลังจากได้รับดำริจากผู้ถูกร้องให้เสนอคำแปรญัตติ ขณะที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร เบิกความว่า กลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ไม่จำเป็นต้องเสนอคำของบ และเสนอคำขอแปรญัตติต่อผู้ถูกร้อง เพื่อให้ความเห็นชอบก็ได้

โดยกลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เสนองบ แต่ละโครงการไปยังสำนักนโยบายและแผน เพื่อรวบรวมส่วนราชการภายใน เสนอเลขาธิการสภาฯ เห็นชอบ ก่อนเสนอประธานรัฐสภา พิจารณาให้ความเห็นชอบและลงนาม และส่งไปยังสำนักงบประมาณต่อไป กลุ่มงานอื่น ๆ ก็สามารถขอแปรญัตติได้เอง เป็นเรื่องปกติตามวิธีการเสนอของบประมาณ

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามบันทึกข้อความ กลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ลงวันที่ 13 พ.ค. 2568 เกี่ยวกับการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบ 2569 ของโครงการทั้ง 3 ปรากฏข้อความที่เขียนด้วยลายมือ อยู่เหนือลายมือชื่อของผู้ถูกร้อง สอดคล้องกับหนังสือของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ไม่ลงวันที่ในเดือน ธ.ค. 2567 เกี่ยวกับการขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ของโครงการทั้ง 3 เอกสารทั้ง 2 ฉบับ มีลายมือชื่อ ของข้อความแตกต่างกัน ประกอบกับพยานเบิกความว่า ตนเขียนข้อความลงในบันทึกข้อความกลุ่มงานรองประธานสภา 1 ลงวันที่ 13 พ.ค. 2568

จึงรับฟังได้ว่า แม้ผู้ถูกร้องลงลายมือชื่อเพียงประการเดียว ไม่ได้เขียนข้อความ แต่การลงลายมือชื่อในเอกสารราชการนั้น ย่อมต้องพิจารณาข้อความของเอกสารก่อน ประกอบกับผู้ถูกร้องมีตำแหน่งเป็นถึงรองประธานสภาฯ คนที่ 1 มาแล้วตั้งแต่ปี 2566 ย่อมทราบดีอยู่แล้วว่า การลงลายมือชื่อในเอกสารหมายความว่า เห็นด้วยกับข้อความในเอกสาร

หากไม่เห็นด้วย ย่อมต้องสั่งให้มีการแก้ไข ดังนั้นการลงลายมือชื่อแม้ไม่ใช่เขียนข้อความ ย่อมหมายความว่าเห็นด้วยกับเอกสารดังกล่าว ประกอบกับพยาน 2 ปากเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า เอกสารดังกล่าว เป็นไปตามที่ได้หารือกับผู้ถูกร้องก่อนแล้ว จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องเห็นชอบให้แปรญัตติโครงการทั้ง 3

สอง มีการกระทำ หรือ พฤติการณ์ที่ผู้ถูกร้องเกี่ยวข้องกับการดำเนินกิจกรรมกับโครงการทั้ง 3 หรือไม่ ผู้ถูกร้องกล่าวอ้างว่า หลัง พ.ร.บ.งบประมาณ 2568 บังคับใช้ การดำเนินโครงการทั้ง 3 มีคำสั่งเมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2567 แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารแต่ละโครงการ ได้แก่ 1.คณะกรรมการบริหารโครงการเยาวชน ตามคำสั่งที่ 77/2567 2.คณะกรรมการบริหารโครงการประชาชน ตามคำสั่งที่ 78/2567 และ 3.คณะกรรมการบริหารโครงการสตรี ตามคำสั่งที่ 79/2567 เพื่อให้สามารถบริหารจัดการโครงการสัมมนาตามหน้าที่ และอำนาจจัดโครงการ กำกับ ดูแล พิจารณาคำขอแต่ละพื้นที่ที่ได้ยื่นความประสงค์ขอให้จัดโครงการสัมมนา โดยผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษา และกรรมการตามคำสั่งแต่งตั้งของโครงการทั้ง 3

การจัดกิจกรรม 3 โครงการ คณะกรรมการบริหารฯ จะพิจารณาขอรับความอนุเคราะห์ และความพร้อมขอเจ้าหน้าที่ และสถานที่ในการจัดกิจกรรม โดยประชาชนยื่นคำขอจัดกิจกรรมต่อผู้ถูกร้อง ให้ผู้ถูกร้องเสนอคำขอจัดกิจกรรมดังกล่าวต่อคณะกรรมการบริหารแต่ละโครงการ เพื่อพิจารณาคัดเลือก รวมจัดโครงการ 440 คำขอ มีคำขอจากโครงการถึง 298 คำขอ ที่เป็นคำขอจากโครงการในพื้นที่ จ.เชียงราย เขตเลือกตั้งที่ 7 อันเป็นพื้นที่ในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และการจัดกิจกรรมโครงการทั้ง 3 ในเบื้องต้น กำหนดจัดกิจกรรมในพื้นที่นำร่องใน จ.เชียงราย

ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า การดำเนินการโครงการทั้ง 3 ดำเนินการโดยคณะกรรมการบริหารโครงการ ตามคำสั่งที่ 77/2567 78/2567 และ 79/2567 ที่ผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ แต่ผู้ถูกร้องมิได้เข้าไปมีส่วนทางตรง หรือทางอ้อม ในการใช้งบ 2569 เพื่อที่ผู้ถูกร้องใช้งบหาเสียง หรือสร้างความนิยมแก่ตัวเอง ในเขตเลือกตั้ง ตามที่ผู้ร้องกล่าวอ้าง

อีกทั้งการดำเนินโครงการใด ๆ ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการ และคณะอนุกรรมการที่ได้รับแต่งตั้ง ผู้ถูกร้องไม่มีอำนาจเห็นชอบ สั่งการ หรือมีส่วนร่วมในการพิจารณาคำขอที่มีการดำเนินโครงการต่าง ๆ ในพื้นที่ใด ๆ หรือในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง เพื่อสร้างความนิยมแก่ตนเอง การประชาสัมพันธ์โครงการ เป็นเรื่องของสำนักเลขาธิการสภา มีหน้าที่เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารหลายช่องทาง ไม่เจาะจงพื้นใด

อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริง พบว่า การดำเนินกิจกรรมที่จัดขึ้นจริง โครงการประชาชน จัด 9 ครั้ง ที่ จ.เชียงราย 1 ครั้ง อื่น ๆ จังหวัดละ 1-5 ครั้ง โครงการเยาวชน จัด 9 ครั้ง จัดที่เชียงราย 2 ครั้ง อื่น ๆ จังหวัดละ 1-2 ครั้ง และโครงการสตรี จัด 1 ครั้ง ที่ จ.เชียงราย

พยานบุคคล 3 ปากเบิกความสอดคล้องกันว่า วิธีการคัดเลือกพื้นที่จัดกิจกรรรม พิจารณาจากคำขอ ความพร้อมด้านเวลา และข้อจำกัดด้านบุคลากรของสภา การจัด 3 โครงการในเขตเลือกตั้งที่ 7 จ.เชียงราย มีเหตุผลด้านความคุ้มค่า รวบรวมคำขอมาจัดสัมมนาในคราวเดียวกัน และมีเวลาดำเนินการได้ ขณะที่เลขาธิการสภาฯ เบิกความว่า ผู้ถูกร้องมีดำริให้จัดโครงการกระจายไปทั่วประเทศ ให้ สส. หรือประชาชน หรือ กมธ.ยื่นคำขอให้สภาไปจัดโครงการทั้ง 3

พยานบุคคลเบิกความว่า การจัดสัมมนาโครงการประชาชนที่ กทม. ผ่านกลุ่มกิจการสภาฯ การเสนองบประมาณรายจ่ายของรัฐสภา ที่รวบรวมมา สำนักนโยบายและแผน วิเคราะห์วัตถุประสงค์ สอดคล้องกับสภา เสนอโครงการทั้ง 3 ในชั้นการของบ ไม่จำเป็นต้องจัดทำแผนการใช้งบ หรือแผนการดำเนินงานโดยละเอียด เพียงระบุข้อมูลกิจกรรมโดยย่อ เช่น ระบุใน 5 ภูมิภาคทั่วประเทศ เพราะงบคำขออาจแตกต่างกัน ส่วนราชการจะต้องทบทวนโครงการ เพื่อวางแผนดำเนินการในรายละเอียดสอดคล้องกับงบที่ได้

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คำของบประมาณดังกล่าว คัดเลือกโดยคณะกรรมการบริหารโครงการ มีผู้ถูกร้องเป็นที่ปรึกษาและกรรมการ การจัดโครงการที่เชียงราย และจังหวัดอื่น โดยในการประชุมของประธานสภาฯ รองประธานสภาฯ และผู้บริหารสำนักงานเลขาสภาฯ ครั้งที่ 2/2567 เมื่อ 24 ธ.ค. 2567 ผู้ถูกร้องประชุม และปรากฏข้อความในการประชุมโครงการสตรี

ความคืบหน้าดำเนินการเบื้องต้น จัดกิจกรรมนำร่องเชียงราย กลางเดือน ม.ค. 2568 กิจกรรมอื่น ๆ อยู่ระหว่างศึกษารูปแบบ โดยรองประธานสภาฯ คนที่ 1 คือนายพิเชษฐ์ กล่าวต่อที่ประชุมว่า โครงการดังกล่าวโครงการใหม่ มุ่งจัดกิจกรรมตามคำเรียกร้องจากประชาชน ชุมชน โรงเรียนจากพื้นที่ต่าง ๆ ประสานงานผ่าน สส.พื้นที่ต่าง ๆ

ดังนั้น จึงรับฟังได้ว่า โครงการจัดทำขึ้นมาโดยผู้ถูกร้องมีส่วนพิจารณาดำเนินโครงการ และมุ่งเน้นเขตเลือกตั้งที่ 7 จ.เชียงราย เป็นเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง มีพฤติการณ์มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3

สาม โครงการทั้ง 3 ในปีงบประมาณ 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกันในปี 2568 หรือไม่ ผู้ร้องกล่าวอ้างว่า สำนักงานเลขาธิการสภาฯ จัดทำคำของบประมาณ 2569 เหมือนปี 2568 ผู้ถูกร้องชี้แจงว่า การเสนอโครงการ 2569 สำนักงานเลขาธิการสภาฯ เป็นผู้จัดทำคำขอลักษณะเดียวกันกับงบปี 2568

ทั้งนี้พยานบุคคลหลายปาก เบิกความสอดคล้องกันว่า การเบิกงบของโครงการทั้ง 3 ในปี 2569 ไม่มีความแตกต่างในสาระสำคัญจากปีงบ 2568 เนื่องจากเป็นโครงการต่อเนื่องตามดำริของผู้ถูกร้อง โดยโครงการทั้ง 3 ที่เสนอในปี 2569 ยังมีหลักการและเหตุผล วัตถุประสงค์ ระยะเวลา เป้าหมาย ผลลัพธ์ และผลกระทบของโครงการตามแผนการปฏิบัติงาน และแผนใช้จ่ายงบประมาณ

รวมถึงรูปแบบจัดกิจกรรม รายละเอียดงบประมาณ และรายการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหมือนกัน โครงการทั้ง 3 ที่เสนอในปีงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2568 มีเพียงการแก้ไขจำนวนวงเงินงบประมาณเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีกลุ่มเป้าหมายเข้าร่วมเพิ่มขึ้น และแก้ไขรายละเอียดย่อย โดยตัดว่าสัมมนาและอบรมก่อน เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และหลากหลายของกิจกรรม

นอกจากนี้ พยานเบิกความอีกว่า ก่อนเป็นโครงการทั้ง 3 กลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เสนอโครงการจำนวน 4 โครงการ สำนักนโยบายและแผน มีข้อหารือทั้ง 4 โครงการมายังสำนักกฎหมาย และสำนักกฎหมายเห็นว่า โครงการทั้ง 4 มีลักษณะเป็นการให้ทุน จัดทำมิได้

ส่วนที่ให้ความเห็นว่า โครงการทั้ง 4 สุ่มเสี่ยงฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 เป็นเพียงข้อสังเกต เผื่อไว้ในกรณีที่รองประธานสภาฯ คนที่ 1 ซึ่งเป็น สส.เป็นผู้ดำเนินการตามโครงการเอง โดยมิใช่การให้ความเห็นในข้อหารือโดยตรง เนื่องจากโครงการทั้ง 4 ริเริ่มมาจากกลุ่มงานรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และป้องกันไม่ให้เกิดเหตุในภายหน้า หลังจากนั้นมีการปรับโครงการทั้ง 4 เป็นโครงการทั้ง 3 มีรูปแบบสัมมนาอบรม

ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ตามคำร้องปรากฏเอกสารงบ 2568 ของโครงการทั้ง 3 ข้อ 2.10 แผนงบประมาณ ปรากฏตาราง คอลัมน์ 2568 2569 2570 ในคอลัมน์ปี 2568 ระบุจำนวนเงิน ปี 2569-2570 ไม่ระบุจำนวนเงิน แสดงให้เห็นว่า โครงการทั้ง 3 มีวัตถุประสงค์จัดทำขึ้น เป็นโครงการต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2568 จนถึง 2570 แม้คำขอตั้งงบ 2569 โครงการทั้ง 3 จะไม่ได้ระบุพื้นที่ ที่คาดว่าจะดำเนินกิจกรรม

แต่จากการเบิกความของพยานดังกล่าว ประกอบกับบันทึกคำเบิกความพยานที่ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งผู้ถูกร้องมิได้หักล้างให้การเป็นอื่น ทั้งยอมรับเช่นเดียวกัน จึงฟังได้ว่า รูปแบบการดำเนินกิจกรรมของโครงการทั้ง 3 ในปี 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกับปี 2568 ในลักษณะทำนองเดียวกันกับโครงการต่อเนื่อง หมายความรวมถึงพื้นที่ดำเนินกิจกรรมเช่นเดียวกันด้วย

ข้อเท็จจริงที่ได้พิจารณา 3 ประการข้างต้น มีน้ำหนักรับฟังสอดคล้องกันว่า ผู้ถูกร้อง เห็นชอบอนุมัติสั่งการ เสนอ หรือแปรญัตติโครงการทั้ง 3 ซึ่งจัดทำขึ้นเพื่อให้ สส.หรือผู้เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการดำเนินการ นำไปสู่การคัดเลือกผู้เข้าร่วมโครงการ มุ่งเน้นดำเนินการในเขตเลือกตั้ง 7 จ.เชียงราย ซึ่งเป็นเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง และรูปแบบการดำเนินการของโครงการทั้ง 3 ในปี 2569 จะดำเนินการในรูปแบบเดียวกับปีงบประมาณ 2568 ลักษณะทำนองเดียวกัน โครงการต่อเนื่อง มีพฤติการณ์ผู้ถูกร้องมีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการทั้ง 3

ส่วนกรณีมีการเสนอการแปรญัตติด้วยประการใด ๆ มีผลให้ สส. สว. หรือ กมธ.มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่าย อันเป็นการกระทำที่ฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง และให้การเสนอการแปรญัตติเป็นอันสิ้นผลหรือไม่ หากผู้ถูกร้องกระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง จะทำให้สมาชิกภาพ สส.ของผู้ถูกร้องสิ้นสุด ณ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม หรือไม่เพียงใด

ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า การเป็น สส.ถือเป็นผู้แทนปวงชน ของประชาชนทั้งประเทศ สถานะของการเป็น สส.ไม่ได้เป็นผู้แทนเฉพาะพื้นที่ หรือกลุ่มบุคคลที่เรียกตนเองเท่านั้น ไม่ว่า สส.จะได้มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขต หรือการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ไม่ว่าจะมาจากเขตเลือกตั้งใด ในจังหวัดใด สส.ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชน

การพิจารณาว่า สส.มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม มีการใช้งบประมาณรายจ่ายหรือไม่ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง แยกการพิจารณาเป็น 2 กรณีคือ

1.การมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่ายทางตรง สส.ต้องเป็นผู้ใช้งบด้วยตนเอง

2.การมีส่วนร่วมทางอ้อมนั้น หมายถึง การมีส่วนร่วมในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่อาจกระทำในลักษณะของคณะบุคคล หรือคณะกรรมการ โดย สส.เป็นส่วนหนึ่งของคณะบุคคล หรือคณะกรรมการดังกล่าว หรือการมีส่วนได้เสีย จากการได้รับประโยชน์ ไม่ได้หมายถึง สส.นั้นเองที่กระทำ หรือได้รับประโยชน์ แต่รวมถึงคู่สมรส บุตร หรือแม้แต่บุคคลที่ไม่ได้อยู่ในความสัมพันธ์ส่วนตัว ได้รับมอบหมายกระทำการแทนด้วย และต้องพิจารณาตามหลักการขัดกันแห่งผลประโยชน์ว่า มีการขัดกันผลประโยชน์ส่วนตน และส่วนรวม ของผู้มีหน้าที่พิจารณาดำเนินการเรื่องนั้น ๆ ต้องพิจารณาเป็นรายกรณีไป

ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องมี 2 สถานะคือ สถานะรองประธานสภาฯ คนที่ 1 และ สส. โดยการใช้อำนาจของผู้ถูกร้องในการดำริจัดสรรงบประมาณ หรือแปรญัตติ ในโครงการทั้ง 3 ใช้อำนาจของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ทั้งนี้บุคคลดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯ คนที่ 1 มีสถานะพื้นฐานจาก สส.มีหน้าที่และอำนาจบริหาร ดำเนินกิจการของสภาฯ ตามที่ประธานสภาฯมอบหมาย ทั้งนี้การปฏิบัติหน้าที่ และการใช้อำนาจของรองประธานสภาฯ ต้องไม่ขัดต่อสถานะพื้นฐานของ สส.ตามที่รัฐธรรมนูญ บัญญัติไว้ รวมถึงบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

การใช้อำนาจของรองประธานสภาฯ คนที่ 1 ต้องไม่มีผลให้ สส. สว. หรือ กมธ.ผู้ใด ซึ่งรวมถึงผู้ถูกร้องในฐานะ รองประธานสภาฯ คนที่ 1 มีส่วนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบประมาณรายจ่ายที่ผู้ถูกร้องเสนอแปรญัตติ หรือกระทำการใด ๆ หากผู้ถูกร้องกระทำการดังกล่าว เพื่อให้ตัวเองมีส่วนได้เสีย ย่อมขัดกันแห่งผลประโยชน์ ระหว่างส่วนตน และสาธารณะ

แม้มีข้อยกเว้นที่ถือว่าเป็นการไม่ขัดกันแห่งผลประโยชน์ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (2) บัญญัติว่า สส. หรือ สว.ต้องไม่ใช้สถานะหรือตำแหน่งการเป็น สส.หรือ สว.กระทำการใด ๆ อันมีลักษณะก้าวก่าย หรือแทรกแซง เพื่อประโยชน์ของตนเอง ผู้อื่น หรือพรรค ไม่ว่าทางตรงหรืออ้อม การกระทำลักษณะให้ตนมีส่วนร่วมในการใช้จ่ายงบประมาณ หรือเห็นชอบจัดทำโครงการใด ๆ ของรัฐ เว้นแต่การดำเนินกิจการของรัฐสภา

แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่มีการเสนอคำของบประมาณ และคำขอแปรญัตติ งบ 2569 ของผู้ถูกร้อง เกี่ยวกับโครงการทั้ง 3 ผู้ถูกร้องดำรงตำแหน่ง สส.และ รองประธานสภาฯคนที่ 1 รวมทั้งที่ปรึกษา และกรรมการของโครงการทั้ง 3 มีอำนาจหน้าที่ส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณา และคัดเลือกพื้นที่โครงการทั้ง 3 ดำเนินกิจกรรมตามคำขอพื้นที่ต่าง ๆ

เมื่อผู้ถูกร้องดำริให้ดำเนินการ และดำรงตำแหน่งรองประธานสภาฯคนที่ 1 เชื่อว่า ใช้อำนาจให้กรรมการอนุมัติลงพื้นที่ผู้ถูกร้องได้ แสดงให้เห็นว่า ผู้ถูกร้องมีเจตนานำงบรายจ่ายแผ่นดิน ใช้ประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมแก่ผู้ถูกร้อง ในเขตเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง เป็นการกระทำใช้สถานะรองประธานสภาฯ คนที่ 1 เพื่อประโยชน์ต่อตนเอง หาเสียง หรือสร้างความนิยมในเขตเลือกตั้งของตน

เมื่อผู้ถูกร้องขอตั้งงบประมาณ 2569 จัดทำโครงการต่อเนื่องจากปี 2568 แสดงให้เห็นเจตนาว่า ต้องการใช้งบประมาณเช่นเดียวกับการใช้งบ 2568 ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการหาเสียง หรือสร้างความนิยมแก่ตนเองในเขตเลือกตั้งต่อเนื่อง ทำให้ผู้ถูกร้อง บุคคลอื่น หรือพรรคการเมืองที่สังกัด ได้รับประโยชน์ในการเลือกตั้ง สส.ในครั้งต่อไป

ถือได้ว่า ผู้ถูกร้อง ทำการเสนอ และ แปรญัตติโครงการทั้ง 3 มีผลให้ผู้ถูกร้องมีส่วน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม ในการใช้งบ 2569 มิใช่เป็นเพียงดำเนินการกิจการสภาอย่างปกติ ไม่เข้าข้อยกเว้นตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 (2) ผู้ถูกร้องจึงเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสอง

ศาลรัฐธรรมนูญต้องสั่งให้ผู้ถูกร้องสิ้นสุดสมาชิกภาพ สส. นับแต่วันที่ศาลมีคำวินิจฉัยคือ 1 ส.ค. 2568 และ เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้อง

เมื่อสมาชิกภาพ สส.ของผู้ถูกร้องสิ้นสุดลง ทำให้มีตำแหน่ง สส.ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตว่างลง ทำให้ต้องตรา พ.ร.ฎ.เลือกตั้งซ่อม ภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ตำแหน่ง สส.ว่างลง ให้ถือว่าวันที่ตำแหน่ง สส.ว่างลง คือ วันที่ศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัยแก่คู่กรณีฟังโดยชอบ

ประเด็นพิจารณาต่อไปว่า เพื่อเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ต้องเพิกถอนเท่าใด เห็นว่า การกำหนดระยะเวลาของการเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง เป็นสิทธิทางการเมือง สำคัญยิ่งต่อผู้อาสาเข้ามาทำประโยชน์แก่บ้านเมือง ในการสมัครรับเลือกตั้ง สส.ต้องพิจารณาให้เป็นไปตามหลักสัดส่วน พอเหมาะพอควร ระหว่างพฤติการณ์ และความร้ายแรง ให้ได้สัดส่วนกับโทษที่จะได้รับ จำกัดสิทธิของบุคคล

เมื่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2569 อยู่ระหว่างการพิจารณาของ กมธ.วิสามัญพิจารณางบฯ 2569 ยังมิได้มีผลบังคับใช้ ที่จะก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงต่อการใช้งบประมาณของแผ่นดิน จึงให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้ถูกร้องมีกำหนดเวลา 10 ปี นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ฐานเศรษฐกิจ

เทียบชัดๆ สถิติการโจมตีทางไซเบอร์ แฮกเกอร์“ไทย VS กัมพูชา”

34 นาทีที่แล้ว

Tim Cook นั่งเก้าอี้ซีอีโอ Apple แซง Steve Jobs อย่างเป็นทางการ

42 นาทีที่แล้ว

ถอนโฉนดที่ดินเขากระโดง 5083 ไร่ ปิดฉากมหากาพย์ข้อพิพาทกรมที่ดิน-รฟท.

47 นาทีที่แล้ว

ไทยโดนภาษีสหรัฐฯ 19% นักวิชาการชี้ดีใจได้ แต่ยังมีข้อกังวลเพียบ

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความการเมืองอื่น ๆ

กองทัพบกยกระดับรับมือภัยคุกคามจากโดรน หลังพบการบินสอดแนม

ฐานเศรษฐกิจ

รบ.ให้สปสช.สนับสนุนท้องถิ่นดูแลกลุ่มเปราะบางพื้นที่ชายแดน

INN News

กัมพูชายื่นฟ้อง OHCHR อ้างไทยคุมตัวทหารกัมพูชา โดยมิชอบด้วยกฎหมาย

News In Thailand

ความจริงที่โลกควรรู้! เปิดไทม์ไลน์แฉ "กัมพูชา" รุกราน "ไทย" กว่า 5 เดือน ทั้งการละเมิดอธิปไตย และหลักมนุษยธรรมอย่างร้ายแรง

สยามรัฐ

อ.ปริญญา แฉ "ฮุนเซน-ฮุนมาเนต" ละเมิด รธน.กัมพูชาเอง ชี้ใช้แผนที่ผิด-รุกรานเพื่อนบ้าน

THE ROOM 44 CHANNEL

Interior Ministry orders revocation of land in Buri Ram, including Chang Arena

Thai PBS World

ข่าวและบทความยอดนิยม