‘รัฐบาล’ลุ้นดีลภาษีสหรัฐเข้าสภา ลุยเจรจาต่อ‘แหล่งกำเนิดสินค้า’
สหรัฐได้ประกาศอัตราภาษีตอบโต้ที่จะเก็บจากสินค้านำเข้าของประเทศคู่ค้า โดยเมื่อวันที่ 31 ก.ค.2568 สหรัฐประกาศจัดเก็บที่อัตราภาษีของไทย มาเลเซียและกัมพูชาอัตรา 19% โดยก่อนหน้านั้นประกาศเก็บภาษีอินโดนีเซีย 19% และเวียดนาม 20%
ภายหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศอัตราภาษีออกมาแล้ว คณะรัฐมนตรี (ครม.) จัดประชุมนัดพิเศษทันทีในวันที่ 1 ส.ค.2568 เพื่อให้ความเห็นชอบร่างถ้อยแถลงข้อตกลงระหว่างไทยและสหรัฐที่สหรัฐเก็บภาษีนำเข้าสินค้าไทย 19% และไทยมีการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าให้สหรัฐ
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ทีมเจรจาจะจัดทำรายละเอียดของข้อตกลงเพื่อเสนอรัฐสภาพิจารณา ซึ่งไทยเปิดตลาดการนำเข้าภาษี 0% ให้สหรัฐจะเกิดผลต่อเมื่อไทยนำเสนอรัฐสภาและผ่านความเห็นชอบ แบ่งการเปิดตลาดเป็น 3 ระดับ ประกอบด้วย
1.สินค้าที่เปิดตลาดเสรีให้สหรัฐทันทีภาษีนำเข้า 0% หลายรายการ โดยเป็นรายการสินค้าที่ไทยเปิดตลาดตามข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศอื่นมาแล้ว
2.สินค้าที่เปิดตลาดเสรีให้สหรัฐบางส่วนภาษีนำเข้า 0% แต่ขอเวลา 3-5 ปี เพื่อให้ไทยปรับตัว
3.ส่วนสินค้าที่ผู้ผลิตในไทยไม่มีความพร้อมสำหรับการเปิดตลาดเสรีจะไม่ลดภาษี 0%
นายพิชัย กล่าวว่า แม้จะมีการประกาศอัตราภาษีแล้วแต่ยังไม่มีการสรุปข้อกำหนดสัดส่วนมูลค่าเพิ่มในภูมิภาค หรือ Regional Value Content (RVC) ที่ชัดเจนสำหรับการแก้ปัญหาสินค้าสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้า ซึ่งอาจใช้เกณฑ์ทั่วไปที่กำหนดสัดส่วน Local content ประมาณ 40% ไปก่อน แต่จะเร่งเจรจาให้ตกลงกันให้ได้โดยเร็ว
สำหรับ RVC เป็นส่วนหนึ่งของกฎว่าด้วยแหล่งกำเนิดสินค้าที่เป็นตัวชี้วัดสำหรับการกำหนดอัตราภาษี โดยเป็นหลักเกณฑ์การคํานวณสัดส่วนมูลค่าการผลิตในประเทศหรือภูมิภาค
เจรจาต่อ“แหล่งกำเนิดสินค้า”
นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ความชัดเจนในสัดส่วนของ RVC ของแต่ละหมวดสินค้านั้นจำเป็นมาก ซึ่งเชื่อว่ายังอยู่ในส่วนที่ต้องเจรจาลงในรายละเอียด
นอกจากนี้ สหรัฐได้การทำกำหนดอัตราภาษี Transshipment rate ที่อัตรา 40% และอาจมีบทลงโทษเพิ่ม โดยสินค้าไทยบางส่วนอาจถูกจับตาเรื่อง Transshipment หรือการส่งต่อสินค้าผ่านประเทศที่สาม ซึ่งอาจถูกตีความว่าเป็นการหลบเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้ยังมีสินค้าบางกลุ่มอาจต้องเผชิญภาษีเพิ่มเติมถึง 40% บางรายการ ดังนั้น เชื่อว่าจะต้องเจรจาสัดส่วน RVC ลงในรายละเอียด
นายชนินทร์ ชลิศราพงศ์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การกำหนดสัดส่วน Local content เป็นประเด็นที่ต้องเจรจากันต่อ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ส่วนหนึ่งจะเป็นการปกป้องห่วงโซ่การผลิตในไทย โดยเฉพาะ SME ไทยที่จะได้รับการปกป้องเพิ่มมากขึ้นจากการกำหนดสัดส่วนการใช้วัตถุดิบในประเทศ ซึ่งเป็นประเด็นที่ไทยและสหรัฐต้องหารือรายละเอียดต่อ
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า การกำหนดสัดส่วน Local content ตามข้อตกลง FTA ทั่วไปกำหนดที่ 40% แต่การเจรจากับสหรัฐยังไม่ลงรายละเอียด ซึ่งไทยเสนอสัดส่วน 40% แต่ต้องรอประเมินว่าสหรัฐต้องการอะไรมากกว่านี้หรือไม่ เพราะสหรัฐต้องการป้องกันสินค้าจีนเข้ามาส่วนสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าไทย และแก้ปัญหาสินค้า Transshipment
ทั้งนี้ สหรัฐได้มีการสืบค้นข้อมูลระดับหนึ่งของการสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าของสินค้าที่ส่งออกจากไทยและเวียดนาม โดยตามหลักการที่ใช้ทั่วไปอาจมีการตรวจโรงงานเพื่อตรวจสอบแหล่งกำเนิดสินค้าว่ามีการผลิตจริงหรือไม่ ซึ่งทีมไทยแลนด์คงต้องเจรจากับสหรัฐเพื่อลงรายละเอียดสัดส่วน RVC ในแต่ละอุตสาหกรรม โดยจะมีการสอบถามข้อมูลกับสมาคมการค้าแต่ละแห่ง
เงื่อนไขข้อตกลงสหรัฐเข้ารัฐสภา
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า การทำข้อตกลงการกับสหรัฐหลังจากบรรลุข้อตกลงทางการค้ากับไทยโดยประกาศปรับภาษีนำเข้าจาก 36% เป็น 19% ซึ่งผ่านความเห็นชอบจาก ครม.และต้องเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบ เพราะเป็นข้อตกลงที่มีผลผูกพันกับประเทศระยะยาว และมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเกี่ยวข้องจำนวนมาก
สำหรับข้อตกลงดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับการข้อตกลง FTA ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 178 วรรคสอง กำหนดให้ข้อตกลงระหว่างประเทศบางประเภทต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาก่อนที่จะมีผลผูกพันประเทศไทย
ทั้งนี้ ครอบคลุมหนังสือสัญญาที่มีบทเปลี่ยนแปลงเขตพื้นที่ รวมถึงหนังสือสัญญาที่จะต้องออก พ.ร.บ.เพื่อให้การเป็นไปตามหนังสือสัญญา และ หนังสือสัญญาอื่นที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สังคม หรือการค้า หรือการลงทุนของประเทศอย่างกว้างขวาง
นอกจากนี้ รัฐธรรมนูญกำหนดให้ก่อนการดำเนินการเพื่อทำข้อตกลงระหว่างประเทศ รัฐบาลต้องให้ข้อมูลและรับฟังความคิดเห็นประชาชนและต้องชี้แจงต่อรัฐสภา และเสนอกรอบการเจรจาให้รัฐสภาเห็นชอบก่อน เมื่อลงนามข้อตกลงแล้วรัฐบาลต้องเปิดเผยรายละเอียดข้อตกลงให้ประชาชนเข้าถึงได้
แก้กฎหมายหลังผ่านรัฐสภา
นายพรศิลป์ พัชรินทร์ตนะกุล นายกสมาคมผู้ผลิตอาหารสัตว์ไทย และเลขาธิการสมาพันธ์ปศุสัตว์และเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า กล่าวว่า การเจรจาข้อตกลง FTA ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา ซึ่งปกติรัฐสภาจะให้ความเห็นชอบและมีความเห็นเพิ่มเติมสำหรับการทำงานของรัฐบาล ซึ่งในกรณีข้อตกลงการค้ากับสหรัฐถึงแม้มีรูปแบบการเจรจาต่างออกไปแต่เชื่อว่าจะผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
รวมทั้งข้อตกลงการค้ากับสหรัฐมีผลทำให้ไทยต้องมีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะกฎกระทรวงอัตราภาษีศุลกากร รวมถึงกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดโควต้าสินค้านำเข้าและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานสุขอนามัย ซึ่งต้องมีการแก้ไขเพื่อเปิดตลาดให้สินค้านำเข้าจากสหรัฐ
สำหรับการนำเข้าวัตถุดิบผลิตอาหารสัตว์ โดยปัจจุบันไทยมีอัตราภาษีนำเข้าถั่วเหลือ 0% และกากถั่วเหลือง 2% ซึ่งมีการปรับลดอัตราภาษีนำเข้าลดลงต่อเนื่องจากที่เคยผูกพันไว้กับองค์การการค้าโลก (WTO) ในอัตราภาษีนำเข้า 10% เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา โดยการแก้ไขกฎหมายของ ครม.เพื่อลดภาษีนำเข้าดำเนินการได้หลังจากที่ข้อตกลงผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา
ขณะที่มาตรการสุขอนามัยที่ถือเป็นมาตรการกีดกันที่ไม่ใช่ภาษี (NTB) ซึ่งสหรัฐได้เจรากับไทยเพื่อลดข้อจำกัดนี้ลง โดยนายพิชัยออกมาระบุว่าการนำเข้าเนื้อสุกรจะเปิดโควตาให้ไม่ถึง 1% ของการบริโภคในประเทศเพื่อให้สหรัฐทดลองตลาด ซึ่งการผลิตเลี้ยงสุกรในไทยมีกฎหมายกำหนดห้ามใช้สารเร่งเนื้อแดง ในขณะที่สากลอนุญาตให้ใช้ได้ระดับหนึ่ง โดยเนื้อสุกรที่สหรัฐจะส่งเข้ามาอาจไม่ใช้สารดังกล่าวก็ได้