พาราสาวะถี
ไม่จำเป็นต้องตอบอะไรเพื่อให้มีการนำไปขยายผล ปมปราสาทตาควายเป็นทหารไทยหรือฝ่ายเขมรยึดพื้นที่ได้ ภาพที่เห็นคืออีกฝ่ายไปตั้งฐาน เดินประกาศชัยชนะกันบริเวณปราสาท ฟังจาก พลตรีวินธัย สุวารีโฆษกกองทัพบก ชี้แจงในแบบที่ไม่ต้องการลงรายละเอียดมาก เริ่มต้นจากการขอโทษประชาชน และอธิบายว่าอาจสื่อสารไม่ละเอียด แต่ไม่เคยพูดเรายึดตัวปราสาทตาควายได้ แต่สำคัญที่การควบคุมพื้นที่คือ บริเวณโดยรอบนอก ในทางยุทธการถือว่าผลเป็นที่น่าพอใจ
มุมอธิบายของโฆษกกองทัพบกอาจดูเหมือนเป็นภาษาทางยุทธวิธี หรือไม่ต้องการขยายความให้เกิดปัญหา เพียงแค่ชี้ให้เห็นว่า การที่อีกฝ่ายโชว์ภาพปราสาทมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เห็นทุ่นระเบิดที่ถูกวางนั่นเป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนว่า ทหารไทยที่ขาขาดไป 2 ราย และการใช้ทุ่นระเบิดในสงครามหนนี้ เป็นการประจานว่าเขมรได้ทำการละเมิดและไม่ได้ทำตามอนุสัญญาออตตาวามาตั้งแต่ต้นทั้งที่ได้เข้าร่วมเป็นภาคีเครือข่ายของอนุสัญญามาเกือบ 30 ปีแล้ว
นั่นเป็นสิ่งที่จะต้องไปว่ากันบนเวทีการไต่สวน หากจะอธิบายกันในเหตุผลที่ว่าก่อนเส้นตายหยุดยิงจะเริ่มขึ้น ทำไมทหารไทยถึงเข้ายึดปราสาทตาควายคืนไม่ได้ไม่ใช่เพราะหมดเวลาที่จะรุกคืบเสียก่อน แต่ตามรายงานจากพื้นที่พบว่า ก่อนเที่ยงคืนวันที่ 28 กรกฎาคม ทหารไทยเข้าตียึดคืนปราสาทได้แล้ว หลังหยุดยิงก็ได้ประกาศชัยชนะ และเดินลงเขามาประมาณ 500 เมตรในส่วนที่เป็นพื้นที่ราบ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นของทหารไทยบนปราสาทตาควายเดิมอยู่แล้ว
จากนั้นก็ ปล่อยให้ฝ่ายเขมรเข้ามาเก็บศพทหารตัวเองคำถามตามมาว่า ทำไมทหารไทยไม่ไปตั้งฐานในปราสาท คำตอบคือ บริเวณนั้นอยู่ในจุดที่ต่ำกว่าฐานที่มั่นของเขมรที่อยู่บนเนินหลังปราสาท หรือเนิน 350 ที่ยึดไม่ได้นั่นเองในเชิงยุทธภูมิเท่ากับว่าหากทหารไทยเข้าไปตั้งฐานในปราสาทก็จะตกเป็นเป้าโจมตีของฝั่งเขมรได้อย่างง่ายดาย ที่สำคัญคือโดยรอบปราสาททหารเขมรมีการวางทุ่นระเบิดไว้โดยรอบ ยิ่งไม่ปลอดภัยเข้าไปใหญ่ และนั่นก็เป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้การเข้าโจมตีก่อนหน้านั้น ทหารไทยบาดเจ็บกันจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ข่าวที่ออกมาหลังคืนวันหยุดยิง ระบุถึง ทหาร ร.31 รอ.ยอมแลก บุกเข้ายึดปราสาทตาควายได้ พร้อมกับมีการเผยแพร่ผ่านโซเซียลมีเดียได้ว่า ทหารไทยเคยยึดปราสาทตาควาย และเนิน 350 ได้แล้ว แต่ถูกสั่งให้ถอยออกมานั้น โฆษกกองทัพบกได้ชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า ไม่เป็นความจริงความมุ่งหมายสูงสุดในการปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้คือ พื้นที่ภายในแนวเส้นปฏิบัติการ ต้องไม่มีการวางกำลังของฝ่ายกัมพูชา ส่วนกรณีการระบุหน่วยที่เข้าร่วมปฏิบัติการคือ ร.31รอ.นั้น กองทัพบกไม่เคยให้รายละเอียดเกี่ยวกับชื่อหน่วยที่ปฏิบัติในแต่ละพื้นที่ในแต่ละจุด แบบเฉพาะเจาะจง
ในหลายพื้นที่ จะเป็นลักษณะการบูรณาการจากหลายหน่วยเข้าร่วมปฎิบัติ สำหรับพื้นที่ปราสาทตาควาย ร.31 รอ. ยังอยู่ระหว่างการเคลื่อนย้ายเข้าแนวปะทะกองทัพบกไม่เคยระบุว่าบริเวณพื้นที่ปราสาทตาควายรวมถึงเนิน 350 เป็นพื้นที่ที่ฝ่ายไทยสามารถเข้ายึดในลักษณะวางกำลังทหารได้ ระบุเพียงเป็นพื้นที่ ที่การต่อสู้เข้มข้นสูง และเป็นพื้นที่มีความเข้มแข็งในการต่อต้านสูงของฝ่ายกัมพูชา ก่อนถึงห้วงเวลาหยุดยิง ฝ่ายไทยพบอุปสรรค ได้แก่ สนามทุ่นระเบิด จนมีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ และอำนาจกำลังยิงสนับสนุนที่รุนแรงหนาแน่นมากบริเวณนั้น
ในห้วงสุดท้าย การเข้าถึงพื้นที่ดังกล่าวถูกกำหนดเป็นพื้นที่สังหาร จึงต้องปรับเป็นการควบคุมด้วยการควบคุมพื้นที่ด้วยการยิงของฝ่ายไทยส่วนคำอธิบายอื่น ๆ เป็นภาษาทางยุทธวิธี เอาเป็นว่าเมื่อทางฝ่ายกองทัพยืนยันว่า เจ้าหน้าที่ไทยสามารถควบคุมพื้นที่ได้มากกว่า ก็ต้องว่ากันไปตามนั้น เปล่าประโยชน์ที่จะไปจับผิดการปฏิบัติหน้าที่ของแนวหน้า ที่ทุ่มเทสรรพกำลัง และต่อสู้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาอธิปไตยของประเทศ เมื่อทุกอย่างหยุดเพื่อรอกระบวนการเจรจาก็ต้องว่ากันไปตามขั้นตอน อย่างน้อยกำลังพลก็จะไม่ได้เกิดความสูญเสีย บาดเจ็บกันมากไปกว่านี้
กรณีปราสาทตาควาย ต้องรอกันไปถึงการประชุมแบ่งเขตแดนซึ่งเข้าใจได้ฝ่ายเขมรคงไม่ยอมถอยหรือคืนพื้นที่ให้ไทยแน่ หากมีปัญหาจะต้องยิงกันอีกรอบคงต้องทำเมื่อถึงเวลานั้นแต่อย่าลืมว่าในการปฏิบัติการนั้นทางกองทัพไทยไม่แตะต้องโบราณสถาน ด้วยความเป็นสุภาพบุรุษ และปฏิบัติตามข้อกฎหมาย กติกาที่เป็นสากลอย่างเคร่งครัด ขณะที่อีกฝ่ายก็รู้ถึงความหน้าด้าน อย่างหนากันอยู่แล้ว อย่างน้อยเวลานี้หลังจากที่มีการพาคณะทูตและผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ น่าจะมีทิศทางบวกสำหรับประเทศไทย
การได้ไปเห็นกับตาต่อการที่ฝ่ายเขมรยิงปืนใหญ่เข้ามายังพื้นที่พลเรือน ซึ่งหากจากจุดชายแดนไกลถึง 30 กิโลเมตร เป็นผลให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต และบาดเจ็บจำนวนมากนั้น ขบวนการตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จของอีกฝ่ายก็จะถูกจับได้ขึ้นอยู่กับการสรุปผลการลงพื้นที่ของเหล่าทูตและผู้ช่วยทูตทหารแต่ละประเทศที่จะรายงานให้ผู้นำของประเทศตัวเองได้รับทราบข้อเท็จจริงอย่างไร เบื้องต้นเป็นการให้ความเห็นเชิงหลักการคือ ให้เป็นเรื่องของสองฝ่าย และเป็นหน้าที่ของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียนที่จะเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ย แต่คงไม่ถึงขึ้นที่จะไปชี้ว่าฝ่ายไหนถูกผิด
ต้องจับตาผลของการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี ที่จัดขึ้นในแดนเสือเหลือง โดยวันที่ 4-6 สิงหาคม จะเป็นการประชุมในส่วนของฝ่ายเลขานุการของทั้งสองประเทศ และวันที่ 7 สิงหาคมเป็นการประชุมระดับนโยบายระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของทั้งสองฝ่าย ทั้งนี้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ยอมรับคําร้องขอของกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ให้ตัวแทนจากมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา และจีนเข้าร่วมเป็นผู้สังเกตการณ์ในวันสุดท้าย เนื่องจากเกรงว่าถ้าไทยปฏิเสธ อาจถูกมองมีลับลมคมในแต่เชื่อว่า ท่าทีของบิ๊กเล็กต่อการประชุมหนนี้คงไม่โอนอ่อนผ่อนตามอีกฝ่ายเป็นแน่
อรชุน