ส่อง 6 ด่านสุดหิน! ชี้ชะตาพรรคการเมืองใหม่ของ "อีลอน มัสก์"
อีลอน มัสก์ มหาเศรษฐีอันดับหนึ่งของโลกและเจ้าของ X (Twitter) ได้สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับการเมืองสหรัฐฯ อีกครั้ง ด้วยการประกาศจัดตั้งพรรคการเมืองใหม่ในชื่อ The America Party
โดยตั้งเป้าเป็นตัวแทนของคนกลุ่มใหญ่ "80%" ที่อยู่ตรงกลางทางการเมือง แต่เส้นทางนี้ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ
หลังจากเคยทุ่มเงินสนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ จนชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2024 และเข้าไปมีบทบาทในรัฐบาล
ทว่าล่าสุดดูเหมือนมัสก์จะเปลี่ยนใจและหันหลังให้ทรัมป์และพรรครีพับลิกัน ด้วยเหตุผลว่าไม่พอใจกับการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐที่สูงเกินไป จนนำมาสู่การก่อตั้งพรรคของตัวเองเพื่อ "คืนเสรีภาพให้กับอเมริกันชน"
ตามการรายงานจาก The Washington Post การจะสร้างพรรคให้ประสบความสำเร็จในสมรภูมิการเมืองอเมริกันนั้นยากแสนสาหัส และต่อไปนี้คือ 6 ด่านสุดหินที่มัสก์ต้องเผชิญหากต้องการประสบความสำเร็จจบนเวทีสายการเมือง
1. กำแพงระบบ "ผู้ชนะกินรวบ" และกฎหมายเลือกตั้งสุดโหด
ระบบการเลือกตั้งของสหรัฐฯ เป็นแบบ "ผู้ชนะกินรวบ" (Winner-take-all) หมายความว่าผู้สมัครต้องชนะที่หนึ่งในเขตเลือกตั้งนั้นๆ เท่านั้นจึงจะได้เก้าอี้ไปครอง
ไม่เหมือนประเทศประชาธิปไตยอื่นๆ ที่พรรคเล็กๆ อาจได้คะแนนเสียง 20-30% แล้วได้ที่นั่งในสภาตามสัดส่วนเพื่อเป็นฐานในการเติบโตต่อไป
นอกจากนี้ การจะส่งผู้สมัครลงเลือกตั้งในแต่ละรัฐก็มีกฎเกณฑ์หยุมหยิมและแตกต่างกันไป ตั้งแต่การรวบรวมลายเซ็นผู้สนับสนุนจำนวนมหาศาล
ซึ่งแม้แต่ผู้สมัครพรรคที่สามรายอื่นๆ ในศึกเลือกตั้งปี 2024 ก็ไม่มีใครสามารถส่งชื่อลงสมัครได้ครบทั้ง 50 รัฐ
แม้ แม็ค แมคคอร์เคิล ศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยดุ๊กจะมองว่า "มัสก์น่าจะมีเงินมากพอที่จะทำสิ่งนั้นได้" แต่มันก็ยังคงเป็นงานที่หินสุดๆ
2. ประวัติศาสตร์ที่ไม่เคยเป็นใจให้ "พรรคที่สาม"
ในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐฯ พรรคที่สามไม่เคยประสบความสำเร็จในระดับชาติอย่างยั่งยืน
ครั้งสุดท้ายที่ผู้สมัครนอกสายตาจากสองพรรคหลักได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง (electoral votes) ต้องย้อนไปถึงปี 1968
ในปี 1992 รอสส์ เพโรต์ มหาเศรษฐีอีกรายที่ลงสมัครในนามอิสระ ได้รับคะแนนนิยมจากประชาชน (popular vote) ถึง 19% แต่กลับไม่ได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งเลยแม้แต่คะแนนเดียว เพราะไม่สามารถชนะเป็นที่หนึ่งในรัฐใดได้
ในปี 2000 การลงสมัครของ ราล์ฟ เนเดอร์ จากพรรคกรีน ถูกมองว่าเป็นตัวตัดคะแนนจนทำให้ผลการเลือกตั้งพลิกผัน แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รับคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งเช่นกัน
จะเห็นได้ว่าแม้จะสร้างแรงกระเพื่อมได้ แต่การจะคว้าชัยชนะอย่างเป็นรูปธรรมแทบเป็นไปไม่ได้เลย
3. กลยุทธ์ "ทุ่มกำลังจุดเดียว" จะเจาะสภาคองเกรสได้จริงหรือ?
มัสก์เปรยว่ากลยุทธ์ของเขาคือการ "ระดมพลเต็มกำลังในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ" แนวคิดนี้คือการพุ่งเป้าไปที่การเลือกตั้งกลางเทอมในไม่กี่เขตสำคัญ แทนที่จะกระจายกำลังไปทั่ว
โดยมัสก์มองว่าการทุ่มทรัพยากรไปที่การคว้าชัยในไม่กี่ที่นั่งของ ส.ส. หรือ ส.ว. ก็เพียงพอแล้ว
เพราะที่นั่งเหล่านั้นจะกลายเป็น "เสียงชี้ขาด" หรือ "เสียงตัดสิน" ในสภาที่ผลคะแนนเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งจะทำให้เขามีอำนาจในการต่อรองและกำหนดทิศทางได้อย่างมีนัยสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญมองว่า แม้ผู้สมัครของมัสก์อาจไม่ชนะ แต่ก็สามารถทำหน้าที่เป็น "ตัวป่วน" ดึงคะแนนเสียงจากพรรครีพับลิกันในรัฐสมรภูมิ (battleground states) และสร้างความแตกต่างได้
แต่การชูธงเรื่องการต่อต้านการใช้จ่ายภาครัฐอาจย้อนแย้งกับตัวเขาเอง เนื่องจากบริษัทต่างๆ ของมัสก์ได้รับสัญญามูลค่ามหาศาลจากรัฐบาล
4. ฐานเสียง "คนกลาง 80%" มีอยู่จริง หรือแค่คิดไปเอง?
ในมุมมองของอีลอน มัสก์ เขาเชื่อว่า คนอเมริกันส่วนใหญ่ถึง 80% เป็นกลุ่ม "คนกลาง" ที่ไม่พอใจพรรคการเมืองใหญ่ทั้งสองพรรค
มหาเศรษฐีรายนี้ดูเหมือนจะเห็นพ้องกับผู้ใช้ X รายหนึ่งที่ได้เสนอแนวทางนโยบาย ซึ่งครอบคลุมประเด็นสำคัญหลายด้าน ได้แก่
เศรษฐกิจ: มุ่งเน้นการลดหนี้สาธารณะของประเทศ
การทหาร: พัฒนากองทัพให้ทันสมัยด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) และหุ่นยนต์เข้ามาใช้
สังคมและเสรีภาพ: ส่งเสริมการลดกฎระเบียบที่ไม่จำเป็น และสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น
เทคโนโลยีและการเพิ่มประชากร: สนับสนุนนโยบายที่ "เน้นเทคโนโลยี" และ "ส่งเสริมการมีบุตร" (pronatalist)
การเมือง: ยึดมั่นใน "นโยบายสายกลางในทุกๆ ด้าน"
อย่างไรก็ตาม ฮานส์ โนเอล นักวิเคราะห์การเมืองจากมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ กลับแย้งว่า กลุ่มคนเหล่านี้ไม่ได้มีแนวคิดหรือความเห็นที่สอดคล้องกันมากพอที่จะรวมตัวเป็นฐานเสียงทางการเมืองที่แข็งแกร่งได้
โนเอลกล่าวว่า "ผู้คนอาจจะรู้สึกผิดหวังกับพรรคที่ตนสนับสนุน แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีความผูกพันอยู่"
5. เมื่อไร้พันธมิตร…หาแนวร่วมใหม่ก็ไม่ง่าย
ความบาดหมางกับทรัมป์และพรรครีพับลิกันทำให้มัสก์สูญเสียพันธมิตรทางการเมืองคนสำคัญไป ขณะที่พรรคการเมืองที่แข็งแกร่งไม่ได้สร้างขึ้นจากเงินเพียงอย่างเดียว
แต่เกิดจากเครือข่ายผู้สนับสนุนที่ภักดีซึ่งพร้อมจะทุ่มเททั้งแรงกายและคะแนนเสียง แม้ต้องเผชิญกับความพ่ายแพ้ในช่วงแรกก็ตาม
แม้จะมีกลุ่มการเมืองขนาดเล็กบางส่วนสนใจร่วมงานกับมัสก์ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่าพวกเขาจะสามารถสร้างเครือข่ายที่ทรงพลังพอจะต่อกรกับสองพรรคใหญ่ได้หรือไม่
โนเอลย้ำชัดเจนว่าแม้ว่ามัสก์จะมีกำลังทรัพย์มากเพียงใด ก็ไม่อาจซื้ออิทธิพลทางการเมืองที่แท้จริงได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีกลุ่มการเมืองสองกลุ่มที่แสดงความสนใจจะทำงานร่วมกับมัสก์ ได้แก่
1. คณะกรรมการแห่งชาติของพรรค Libertarian ซึ่งเป็นพรรคการเมืองที่มีแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่ง
2. กลุ่มการเมืองสายกลางอย่าง No Labels ที่มุ่งเน้นการสร้างความร่วมมือข้ามพรรค
6. "จุดเดือดต่ำ" สไตล์มัสก์ จะทนเกมการเมืองได้แค่ไหน?
ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดของอีลอน มัสก์น่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติของระบบการเมืองเอง
มัสก์ขึ้นชื่อเรื่องความใจร้อน ชอบตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยาน และต้องการเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะในธุรกิจจรวดหรือรถยนต์ไฟฟ้า
แต่ในโลกการเมืองนั้นเต็มไปด้วยกระบวนการที่เชื่องช้า ซับซ้อน และก่อให้เกิดความน่าหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อย
คำถามคือ เขาจะอดทนกับความพ่ายแพ้ในช่วงแรก ๆ ได้ไหม หรือจะทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตเพื่อสร้างพรรคใหม่จริง ๆ?
อีลอน มัสก์ได้ประจักษ์ถึงข้อจำกัดของอำนาจเงินในเวทีการเมืองด้วยตัวเองเมื่อต้นปีนี้ เมื่อกลุ่มของเขาทุ่มเงินกว่า 20 ล้านดอลลาร์หนุนผู้สมัครสายอนุรักษ์นิยมในการชิงตำแหน่งผู้พิพากษาศาลฎีกาของรัฐวิสคอนซิน
การแข่งขันครั้งนั้นใช้งบประมาณมหาศาลกว่า 100 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นการเลือกตั้งผู้พิพากษาที่แพงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
แม้ว่ามัสก์จะทุ่มเงินและพยายามสร้างภาพว่าการแข่งขันครั้งนี้มีความสำคัญถึงขนาดชี้ชะตาอารยธรรมตะวันตก เพราะเกี่ยวพันกับวาระของประธานาธิบดีทรัมป์
แต่สุดท้ายแล้ว ซูซาน ครอว์ฟอร์ด ผู้สมัครสายเสรีนิยมก็เป็นฝ่ายคว้าชัยชนะไป
ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา มัสก์ยังคงแสดงท่าทีที่ไม่แน่ไม่นอนเกี่ยวกับการใช้จ่ายเพื่อลงมาคลุกคลีกับสายการเมืองเต็มตัว
หลังจากที่ผู้สมัครที่เขาสนับสนุนพ่ายแพ้ที่วิสคอนซิน มัสก์เคยกล่าวไว้ว่า ในอนาคตเขาจะ "ลดการใช้จ่ายทางการเมืองลงอย่างมาก"
แต่ก็ยังเปิดช่องไว้ว่าอาจกลับมาทุ่มเงินอีกครั้ง หากเห็น "เหตุผลที่จำเป็นในการใช้จ่ายทางการเมือง"
ท้ายที่สุดแล้ว การเดิมพันทางการเมืองครั้งนี้ของอีลอน มัสก์ จึงเป็นบทพิสูจน์สำคัญว่า เงิน และ วิสัยทัศน์ที่ยิ่งใหญ่ ของเขาจะสามารถเอาชนะ ความเป็นจริงทางการเมือง ที่ฝังรากลึกมานานได้หรือไม่