ครม. ไฟเขียว ควบรวม บสย. ตั้ง NaCGA ยกระดับค้ำประกันสินเชื่อ
ครม. ไฟเขียว พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ หรือ NaCGA ให้ควบรวม บสย. ภายใน 1 ปี โดยรัฐบาลประเดิมทุน 1 หมื่นล้านบาท ยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อเป็นแบบประเมินความเสี่ยงรายบุคคล หวังช่วย SMEs เข้าถึงแหล่งทุนง่ายขึ้น
19 ส.ค. 2568 ดร. เผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงข่าวว่า วันนี้ 19 ส.ค. 2568 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ ร่าง พ.ร.บ.สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. …. เพื่อก่อตั้งสถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ (NaCGA) ให้เป็นกลไกสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของ SMEs ทั้งนี้ร่าง พ.ร.บ. มี 8 หมวด 132 มาตรา
โดย NaCGAจะเป็นหน่วยงานที่อยู่ในในฐานะหน่วยงานของรัฐ แต่ไม่ใช่ส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ จะทำหน้าที่ในการประเมินความเสี่ยงและค้ำประกันเครดิตให้ประชาชนที่ขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินพาณิชย์ สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ และ Non-Bank
ขณะที่โครงสร้างของNaCGA จะเป็นการควบรวมบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) โดยบสย. จะทำหน้าที่เป็นกลไกหลักของNaCGA ในช่วงแรก ทั้งนี้กระบวนการควบรวม บสย. จะดำเนินการแล้วเสร็จภายใน 1 ปี
“กฎหมายกำหนดให้ควบรวมบสย. ภายใน 1 ปีหลังจากกฎหมายเสร็จ แต่มีการขยายได้ในช่วง 1-5 ปี โดยเบื้องต้นรัฐบาลให้ทุนประเดิมในการจัดตั้งNaCGA ที่ 10,000 ล้านบาท โดยมาจากกองทุน SFI และเงินกองกลางของบสย. อย่างไรก็ตามตัวเลขทุนประเดิมนี้ยังสามารถปรับเปลี่ยนได้ในชั้นการพิจารณาของกรรมาธิการ”
สำหรับกลไกการทำงานของNaCGA มีดังนี้
1. ผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อติดต่อNaCGA เพื่อให้พิจารณาค้ำประกันเครดิตให้กับตนเอง ก่อนไปยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน
2. NaCGAจะเป็นผู้ประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการ ตั้งแต่การประเมินความเสี่ยงรายบุคคล การค้ำประกันตามระดับความเสี่ยง (Risk-Based Pricing) โดยใช้ฐานข้อมูลและแบบจำลองความเสี่ยงด้านเครดิตที่NaCGA จัดทำขึ้นจากข้อมูลทางการเงินและข้อมูลทางเลือก
3. NaCGAจะออก “ใบค้ำประกันเครดิต” ให้กับผู้ขอสินเชื่อ โดยผู้ขอสินเชื่อจ่ายค่าธรรมเนียมเพียงเล็กน้อยตามความเสี่ยง เนื่องจากได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ และสถาบันการเงินที่ร่วมจ่าย
4. ผู้ขอสินเชื่อนำใบค้ำประกันเครดิตที่ได้ไปยื่นขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
5. สถาบันการเงินปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ขอสินเชื่อ เนื่องจากผู้ขอสินเชื่อมี NaCGAเป็นผู้รับประกันความเสี่ยงด้านเครดิตแทนบางส่วนหรือทั้งหมดแล้ว
6. หากผู้ขอสินเชื่อไม่สามารถชำระหนี้ได้ NaCGAจะเป็นผู้รับความเสี่ยงกับสถาบันการเงินตามเงื่อนไข
สำหรับสินเชื่อที่ NaCGAสามารถค้ำประกันได้ คือ สินเชื่อธุรกิจ SME ขณะที่ร่างกฎหมายยังเปิดให้ค้ำประกันธุรกิจบางประเภทรวมถึงสายการผลิตของธุรกิจนั้นที่รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนในอนาคต
“NaCGA จะค้ำประกันให้กับทั้งสินเชื่อที่มีหลักประกันและไม่มีหลักประกัน โดยค่าธรรมเนียมการค้ำประกันของNaCGA จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของลูกค้าไม่ได้เป็นการค้ำประกันในรูปแบบ Portfolio Guarantee Scheme หรือ PGS ของบสย. ที่คิดค่าธรรมเนียมเท่ากันทุกราย อย่างไรก็ตามในช่วงแรกกลไกการค้ำประกันของNaCGA จะทำควบคู่ไปกับการใช้การค้ำประกันสินเชื่อในรูปแบบ PGS หลังจากนั้นก็จะลดขนาดของ PGS ลงไปเรื่อยๆ ”
ดร.เผ่าภูมิ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากนั้นฐานข้อมูลของNaCGA จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลที่สำคัญของประเทศ โดยร่างกฎหมายได้กำหนดให้ หน่วยงานต่างๆ ของรัฐและเอกชน นำส่งข้อมูลต่างเพื่อจัดทำแบบจำลองเครดิตให้ NaCGA เพื่อให้เกิดเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญที่รวบรวมข้อมูลของภาคธุรกิจในประเทศ
สำหรับแหล่งทุนของNaCGA ประกอบด้วย (1) เงินอุดหนุนจากรัฐบาล (2) ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันจากผู้ประกอบการ (3) เงินสมทบจากธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ คิดเป็นสัดส่วนตามเงื่อนไข ทำให้ไม่จำเป็นต้องพึ่งพางบประมาณภาครัฐเพียงอย่างเดียว
“การค้ำประกันของNaCGA จะทำให้ค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อถูกลงได้ เพราะมีแหล่งเงินในการค้ำประกันจาก 3 ส่วนคือ เงินอุดหนุนจากรัฐบาล ค่าธรรมเนียมที่ได้จากผู้ประกอบการ และ เงินสมทบจากสถาบันการเงิน”
ดร. เผ่าภูมิ เปิดเผยว่า ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการส่งร่าง พ.ร.บ. สถาบันค้ำประกันเครดิตแห่งชาติ พ.ศ. …. เข้าสู่การพิจารณาของกรรมาธิการ โดยคาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 30-45 วัน ก่อนจะนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) และเข้าสู่การพิจารณาของสภาฯ ต่อไป
“ครม. กำหนดให้เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีความเร่งด่วน หรือ Fast Track ดังนั้นกรรมาธิการจะมีเวลาพิจารณาประมาณ 30-45 วัน ก่อนเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป มั่นใจว่าทันการพิจารณาของสภาของรัฐบาลชุดนี้แน่นอน”
ทั้งนี้กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับการเข้าถึงแหล่งทุนและสร้างขีดความสามารถของภาคธุรกิจ โดยเฉพาะ SMEs การจัดตั้งNaCGA ไม่เพียงยกระดับกลไกการค้ำประกันสินเชื่อของภาครัฐในปัจจุบันให้มี แต่ยังจะเป็นการสร้างระบบนิเวศใหม่สำหรับการระดมทุนของภาคธุรกิจไทย เพื่อส่งเสริมและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคเอกชน