IEA เตือน “ตลาดน้ำมันโลก” เสี่ยงล้นสต็อกสูงสุดในประวัติการณ์ปี 2569
IEA ชี้ปริมาณน้ำมันในคลังอาจพุ่งเกือบ 3 ล้านบาร์เรล/วันในปีหน้า สูงกว่าช่วงโควิด-19 แม้อุปสงค์จีน-อินเดีย-บราซิลซบเซา ขณะที่ OPEC+ เร่งฟื้นการผลิต กดดันราคาน้ำมันดิบร่วงใกล้ 66 ดอลลาร์/บาร์เรล
วันที่ 13 สิงหาคม 2568 เวลา 15.00 น. สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) เปิดเผยว่าตลาดน้ำมันโลกมีแนวโน้มเข้าสู่ภาวะส่วนเกินสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2569 เนื่องจากการเติบโตของดีมานด์ชะลอตัวลง ขณะที่การผลิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ข้อมูลจากรายงานประจำเดือนของIEA ระบุว่า ปริมาณน้ำมันดิบในคลังทั่วโลกจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.96 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งมากกว่าค่าเฉลี่ยของปี 2563 ในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกทั้งปีนี้และปีหน้าขยายตัวในอัตราน้อยกว่าครึ่งหนึ่งของปี 2566
ในขณะเดียวกันการผลิตน้ำมันพุ่งสูงขึ้น กลุ่ม OPEC+ นำโดยซาอุดีอาระเบียได้เร่งเดินหน้าฟื้นการผลิตที่หยุดชะงัก และ IEAได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การผลิตนอกกลุ่มในปี 2569 โดยมีภูมิภาคอเมริกาเป็นผู้นำ
IEA กล่าวว่า “สมดุลตลาดน้ำมันดูมีภาวะล้นตลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากปริมาณอุปทานที่คาดการณ์ไว้สูงกว่าอุปสงค์อย่างมากในช่วงปลายปีและในปี 2569 …ชัดเจนว่าจำเป็นต้องมีบางอย่างเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ตลาดกลับมาสมดุล”
ราคาน้ำมันดิบปรับลดลงราว 12% ตั้งแต่ต้นปี ซื้อขายใกล้ระดับ 66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในลอนดอน เนื่องจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นจากทั้ง OPEC+ และคู่แข่ง ประกอบกับความกังวลว่ามาตรการสงครามการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ
การร่วงลงของราคานี้ช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของผู้บริโภคหลังจากเผชิญเงินเฟ้อหลายปี และถือเป็นชัยชนะทางการเมืองของทรัมป์ที่ผลักดันให้ต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงลดลง แต่ในอีกด้านหนึ่งก็สร้างความเสี่ยงทางการเงินให้แก่บริษัทและประเทศผู้ผลิตน้ำมัน
สต็อกน้ำมันพุ่งสูง
แม้ว่าความต้องการน้ำมันสำหรับการขับขี่ยานพาหนะในช่วงฤดูร้อนจะช่วยพยุงตลาดอยู่บ้าง แต่ข้อมูลของIEA ชี้ว่าตลาดกำลังเข้าสู่ภาวะอุปทานล้นแล้ว โดยปริมาณน้ำมันในคลังทั่วโลกแตะระดับสูงสุดในรอบ 46 เดือนเมื่อเดือนมิถุนายน ทั้งนี้มาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อรัสเซียหรืออิหร่านอาจเปลี่ยนภาพรวมตลาดได้
ในเชิงไตรมาส ภาวะส่วนเกินที่เกิดขึ้นในปี 2563 ยังคงเป็นสถิติสูงสุด โดยแตะมากกว่า 7 ล้านบาร์เรลต่อวันในไตรมาส 2 ของปีนั้น เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ได้จำกัดการเดินทางและกิจกรรมเศรษฐกิจ ก่อนที่ส่วนเกินจะลดลงจากการปรับลดกำลังการผลิตครั้งใหญ่ของ OPEC+
การบริโภคน้ำมันทั่วโลกปีนี้จะเพิ่มขึ้นเพียง 680,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2562 เนื่องจากความต้องการที่น่าผิดหวังในจีน อินเดีย และบราซิล และจะขยายตัว 700,000 บาร์เรลต่อวันในปี 2569
IEAคาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกจะหยุดเติบโตภายในสิ้นทศวรรษนี้ เนื่องจากหลายประเทศหันมาใช้พลังงานไฟฟ้าและยานยนต์ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล
หน่วยงานนี้ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของอุปทานนอกกลุ่ม OPEC+ ในปี 2569 อีก 100,000 บาร์เรลต่อวัน เป็น 1 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยมีสหรัฐ กายอานา แคนาดา และบราซิลเป็นผู้นำ
ขณะที่คู่แข่งนอกกลุ่มขยายการผลิต OPEC และพันธมิตรจึงพยายามช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดกลับคืน ซาอุดีอาระเบียได้ผลักดันให้กลุ่มเร่งฟื้นการผลิตที่หยุดชะงักในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และเมื่อต้นเดือนสิงหาคมก็อนุมัติการเพิ่มกำลังการผลิตอีกในเดือนกันยายน เพื่อให้ครบโควตาฟื้นการผลิต 2.2 ล้านบาร์เรล
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่ากลุ่มจะเดินหน้าชิงส่วนแบ่งตลาดต่อไปหรือไม่ โดย OPEC+ ส่งสัญญาณว่ายังไม่ตัดสินใจ อาจจะเพิ่มการผลิตต่อ หยุดเพิ่ม หรือแม้แต่กลับมาลดการผลิตอีกครั้ง
ทั้งนี้กำลังการผลิตของกลุ่ม 22 ประเทศลดลงเล็กน้อยเมื่อเดือนที่แล้ว เนื่องจากซาอุดีอาระเบียลดการผลิตลงจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนมิถุนายนระหว่างความขัดแย้งอิสราเอล–อิหร่าน อย่างไรก็ตาม สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ยังคงเพิ่มการผลิตขึ้นสู่ระดับ 3.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งสูงกว่ากำหนดโควตาในกลุ่ม OPEC+ อย่างมาก