ถึงเวลาเก็บ! หุ้นเฮลท์แคร์ พื้นฐานแกร่ง รับไฮซีซั่นหนุนครึ่งปีหลัง
ช่วงที่ผ่านมา หุ้นโรงพยาบาลเผชิญกับแรงกดดันทั้งจากปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายในประเทศ ทำให้ราคาปรับตัวลงมาค่อนข้างมาก แต่นักวิเคราะห์มองว่าปัจจัยพื้นฐานยังคงแข็งแกร่ง แนวโน้มผลประกอบการในช่วงครึ่งหลังปี 2568 จะเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก อีกทั้งราคาหุ้นที่ปรับลดลงสะท้อนข่าวลบไปมากแล้ว จึงมองเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า ปัญหาปิดด่านชายแดนไทย–กัมพูชา คาดว่าจะกระทบต่อกลุ่มโรงพยาบาลอย่างจำกัด เนื่องจากโรงพยาบาลไทยหลายแห่งมีรายได้จากกัมพูชาอยู่ในสัดส่วนต่ำ (1–4%) จึงคาดว่าจะไม่ส่งผลต่อรายได้รวมมากนัก
ส่วนประเด็นสงครามอิสราเอล–อิหร่าน หากไม่ได้รุกลามไปยังประเทศอื่น และไม่ระงับการเดินทาง ผู้ป่วยยังสามารถเดินทางมารักษาได้ตามปกติ อีกทั้งมองว่าเป็นโอกาส เนื่องจากความไม่ปลอดภัยในตะวันออกกลาง อาจทำให้ผู้ป่วยบางส่วนหันมาเลือก “ประเทศไทย” เป็นจุดหมายปลายทางในการพักพิง ซึ่งอาจเป็น upside risk
ขณะเดียวกัน แนวโน้มผลประกอบการของกลุ่มโรงพยาบาลยังเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยผลประกอบการไตรมาส 2/68 ของหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล แม้จะชะลอตัวจากไตรมาส 1/68 ตามปัจจัยฤดูกาล แต่คาดว่าจะยังเติบโตจากไตรมาส 2/67 สำหรับกลุ่มคนไข้ไทยคาดว่าจะเติบโตระดับ low single digit แม้ได้ผลบวกจากการระบาดของโรคที่เพิ่มขึ้น แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้ลูกค้าบางส่วนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น
ด้านคนไข้ต่างชาติคาดว่าจะเติบโต 7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้กลุ่มลูกค้าจีนจะลดลง ตามตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงกว่า 50% แต่พบว่ากลุ่มลูกค้าจากประเทศอื่นยังเติบโตดีชดเชย โดยเฉพาะกลุ่มตะวันออกกลางและกลุ่ม CLMV
ทั้งนี้ บริษัทที่มีแนวโน้มเติบโตดีกว่ากลุ่ม ได้แก่ PR9, BCH รองลงมาคือ BDMS ส่วนโรงพยาบาลที่คาดว่าผลประกอบการจะชะลอตัวจากไตรมาส 2/67 ได้แก่ BH ที่กลุ่มลูกค้าต่างชาติลดลงจากการเสียส่วนแบ่งตลาดให้คู่แข่ง และ EKH ที่ได้รับผลกระทบจากลูกค้าจีนที่มารักษา IVF หายไป
อย่างไรก็ตาม ผลประกอบการครึ่งปีหลัง 2568 ของกลุ่มโรงพยาบาลมีแนวโน้มเติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก จากการเข้าสู่ high season ของอุตสาหกรรม สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น อาทิ กลุ่มประเทศเมียนมา คาดว่าจะกลับเข้าใช้บริการมากขึ้น หลังจากได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในช่วงปลายไตรมาส 1/68 ซึ่งมีการเลื่อนการรักษามาในครึ่งหลังปี 2568
ขณะที่กลุ่มโรงพยาบาลที่รับประกันสังคมคาดว่าจะเติบโตจากฐานต่ำ โดยปีนี้ประกันสังคมประกาศยึดอัตราเบิกจ่ายค่ารักษาพยาบาลที่มีต้นทุนสูง (AdjRW > 2) คงที่ตลอดปี 12,000 บาท/AdjRW ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกปรับลดเหมือนปีก่อน
ดังนั้น ฝ่ายวิเคราะห์จึงคงน้ำหนักการลงทุนกลุ่มโรงพยาบาล “มากกว่าตลาด” ในปี 2568 โดยคาดว่าผลประกอบการยังเติบโตต่อเนื่อง ภาพระยะกลางถึงยาวมองเป็นบวก จากมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐ โดยถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่ภาครัฐสนับสนุนให้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และการที่ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นอีกปัจจัยหนุน ขณะที่ราคาหุ้นปรับลดลงสะท้อนข่าวลบมากเกินไป ฝ่ายวิเคราะห์จึงมองว่าเป็นจังหวะในการเข้าลงทุน
BCH ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20.40 บาท
BDMS ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 34.40 บาท
EKH ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 6.90 บาท
MEDEZE ให้คำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท
PR9 ให้คำแนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 27.00 บาท
ฝ่ายวิเคราะห์เลือก BCH เป็น Top Pick ของกลุ่มโรงพยาบาล โดยคาดว่าปี 2568 ผลประกอบการจะเติบโตดีกว่ากลุ่ม ปัจจัยหลักมาจากการฟื้นตัวของรายได้ประกันสังคม และโรงพยาบาลใหม่ในเครือที่พลิกกลับมามีกำไร