เทียบมูลค่าการค้า “ไทย-กัมพูชา” vs “ไทย-เมียนมา” หลังปิดด่าน
นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงกรณีที่ประเทศเมียนมาปิดสะพายไทย-เมียนมาแห่งที่ 2 ว่า มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทยแน่นอน เพราะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถส่งสินค้าข้ามไปได้ โดยถือเป็นประเทศการค้าชายแดนแห่งที่ 2 ที่ได้รับผลกระทบ
ซึ่งเมียนมาเป็นหนึ่งประเทศที่มีขนาด หรือมูลค้าการค้าขนาดใหญ่ โดยมีผลทำให้การส่งออกชายแดนได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้นจากกัมพูชา ซึ่งปัจจุบันภาคเอกชนกำลังหารือกันถึงสาเหตุที่เกิดขึ้น โดยส่วนหนึ่งอาจจะมาจากระบบการเมืองในประเทศเมียนมา ซึ่งชนกลุ่มน้อยที่ปิดสะพานอาจจะต้องการกดดันรัฐบาลเมียนมาเพื่อทำให้ประชาชนเดือดร้อนจากการไม่มีสินค้า โดยเป็นการเมืองภายในแต่กระทบไทย
สำหรับมูลค่าระหว่างไทยกับทั้งกัมพูชาและเมียนมา
ช่วง 6 เดือนแรกของปี 68 รวมกันอยู่ที่ประมาณ 2 แสนล้านบาท โดยที่การค้าในช่วงครึ่งปีแรกระหว่างไทย-กัมพูชาอยู่ที่ประมาณ 9.5 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็น ไทยนำเข้าประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท และไทยส่งออกไปประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาท
โดยในมิถุนายนที่ผ่านมามูลค่าการค้าชายแดนไทย0กัมพูชาลดลงไปต่อเดือนประมาณ 30% ในช่วงเวลาที่มีเหตุปะทะของทหารทั้ง 2 ฝ่าย
ขณะที่มูลค่าการค้าระหว่างไทยกับเมียนมาช่วงครึ่งปีแรกอยู่ที่ประมาณ 1.06 แสนล้านบาท แบ่งเป็น ไทยนำเข้าประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาท แต่ส่งออกไปประมาณ 6.3 หมื่นล้านบาท ทำให้ไทยได้ดุลการค้าประมาณ 2 หมื่นล้านบาท
นายเกรียงไกร กล่าวต่อไปอีกว่า สินที่ไทยส่งออกไปเมียนมาคือสินค้าเกษตรอุตสาหกรรม เครื่องดื่ม น้ำมันดีเซล ส่วนที่ไทยนำเข้าคือก๊าซธรรมชาติ สินแร่ โลหะภัณฑ์ และธัญพืช
“หากมองมูลค่าการค้าของไทยระหว่างกัมพูชาและเมียนมา เมียนมาจะมียอดโตกว่ากัมพูชาเล็กน้อย“
อย่างไรก็ดี หากให้ประเมินผลกระทบจากการปิด่านชองเมียนมาดังกล่าว คงจะเร็วเกินไปในเวลานี้ อีกทั้งยังเป็นเพียงแค่จุดผ่านแดนแห่งเดียวที่ปิด แต่ก็ถือเป็นจุดสำคัญ ซึ่งต้องดูว่าจะกระทบเท่าไหร่ และปิดนานแค่ไหน ไทยจะมีเส้นทางขนส่งสินค้าอื่นที่สามารถส่งออกไปเมียนมาได้อีกหรือไม่ โดยที่อาจจะต้องเสียค่าขนส่งเพิ่มขึ้น