โปรดอัพเดตเบราว์เซอร์

เบราว์เซอร์ที่คุณใช้เป็นเวอร์ชันเก่าซึ่งไม่สามารถใช้บริการของเราได้ เราขอแนะนำให้อัพเดตเบราว์เซอร์เพื่อการใช้งานที่ดีที่สุด

ทั่วไป

มธ.-สนค. เปิดวิจัย ‘ปรับโครงสร้างส่งออก’ ดัน 2 คลัสเตอร์ศักยภาพสูง สู้ศึกการค้าโลก

ไทยโพสต์

อัพเดต 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา • เผยแพร่ 9 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ICDS มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จับมือ สนค. เปิดผลวิจัยพร้อมข้อเสนอเชิงนโยบายปรับโครงสร้างการส่งออก ดันเศรษฐกิจ-กระตุ้นการลงทุน เจาะลึกสินค้า “ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ”ใน 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรม “อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่-ยานยนต์แห่งอนาคต” เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในสงครามการค้า คาดหากทำตามข้อเสนอ เพิ่มลงทุนรวม 1.4 แสนล้าน
16 สิงหาคม 2568 - ศูนย์วิจัยความสามารถในการแข่งขันและการพัฒนา (ICDS) คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ จัดงานสัมมนาเปิดเผยผลการศึกษา “โครงการศึกษาแนวทางการปรับโครงสร้างภาคการส่งออกเพื่อยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทยในตลาดโลกให้เติบโตอย่างยั่งยืน” ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 2568 โดยมีผู้สนใจเข้าร่วม 200 คน ทั้งทางออนไลน์และออนไซด์

น.ส.ณิชชาภัทร กาญจนอุดมการณ์ ผู้อำนวยการกองยุทธศาสตร์การพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกถือเป็นถือเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยมาอย่างยาวนาน การยกระดับการส่งออกจึงเป็นพันธกิจที่สำคัญของ สนค. โดยเฉพาะในสถานการณ์ความท้าทายจึงจำเป็นต้องเร่งปรับโครงสร้างใหม่เพื่อการแข่งขัน ยืนยันว่า สนค. จะขับเคลื่อนพันธกิจนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมต่อภาคการส่งออกของไทย

รศ. ดร.อาชนัน เกาะไพบูลย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะหัวหน้าคณะวิจัย เปิดเผยว่า ปัจจุบันไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งสงครามการค้า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าของโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ตลอดจนความขัดแย้งในภูมิภาค ส่งผลให้ในช่วงปี 2562-2567 การส่งออกของไทยขยายตัวช้าลง ส่วนแบ่งในตลาดโลกไม่เพิ่มขึ้น ทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.4

“การส่งออกที่ดีจะนำไปสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจ สร้างความเชื่อมั่น และกระตุ้นให้เกิดการลงทุนใหม่ได้ จึงมีความจำเป็นต้องเพิ่มขีดความสามารถในการส่งออก สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าที่มีศักยภาพ พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อต่อการส่งออก ตลอดจนการกระจายตลาดไม่ให้กระจุกตัวอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งจะนำไปสู่ความยั่งยืน” รศ. ดร.อาชนัน กล่าว

สำหรับโครงการศึกษาฯ ได้พิจารณาโครงสร้างการส่งออกของไทยทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรม และได้เจาะลึกใน 2 คลัสเตอร์อุตสาหกรรมที่สำคัญ ซึ่งมีมูลค่าเป็นครึ่งหนึ่งของสัดส่วนการส่งออกไทย ประกอบด้วย 1. คลัสเตอร์อิเล็กทรอนิกส์สมัยใหม่ (Next Generation Electronic Cluster : NGEC) 2. คลัสเตอร์ยานยนต์แห่งอนาคต (Next Generation of Mobility Cluster : NGMC) โดยทั้งสองมีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและมีศักยภาพในการเติบโต

ในส่วนของ NGEC ของไทยมีสัดส่วนการส่งออก 33% ของการส่งออกรวมในปี 2567 และ 17% ของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรมในปี 2565 เป็นแหล่งสร้างงานกว่า 753,000 คน ขณะเดียวกันมูลค่าตลาดโลกในอุตสาหกรรมนี้ก็สูงกว่า 2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี ขณะที่ NGMC มีสัดส่วนการส่งออก 13% ของการส่งออกรวมในปี 2567 และ 10% ของมูลค่าเพิ่มภาคอุตสาหกรรม เป็นแหล่งสร้างงานกว่า 690,000 คน และประมาณการผลิตในปี 2568 อยู่ที่ 1.5 ล้านคัน

รศ. ดร.จุฑาทิพย์ จงวนิชย์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หนึ่งในนักวิจัยหลักของโครงการ กล่าวว่า การพิจารณาศักยภาพการส่งออกของสินค้าทั้งภาคเกษตรและอุตสาหกรรมจำเป็นต้องพิจารณาความได้เปรียบโดยเปรียบเทียบของสินค้านั้นในตลาดโลกผนวกกับมิติอื่นๆ ที่สำคัญ โดยเฉพาะมิติทางด้านการกระจุกตัวหรือกระจายตัวของสินค้าส่งออก การสร้างซัพพลายเชนในประเทศ (ความเชื่อมโยงย้อนหลังไปยังส่วนต้นน้ำ) การไปต่อยอดมูลค่าให้กับสินค้าอื่นๆ (ความเชื่อมโยงไปข้างหน้า) และการพัฒนาศักยภาพการผลิตเพื่อลดการนำเข้า

สำหรับอุตสาหกรรม NGEC สินค้าศักยภาพพบในทุกตำแหน่งของห่วงโซ่อุปทานไม่ใช่เพียงกลุ่มปลายน้ำเท่านั้น วันนี้ไทยมีการส่งออกสินค้าในกลุ่มกลางน้ำและต้นน้ำเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน Integrated circuits อื่น ๆ (ICs) Transistorsและชิ้นส่วนของ ICs ซึ่งเป็นส่วนต้นน้ำของห่วงโซ่อุปทานไปตลาดโลกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และถือว่าเป็นสินค้าที่จัดอยู่ในกลุ่มศักยภาพของไทย เช่นเดียวกันกับกลุ่มกลางน้ำที่เป็นสินค้ากลุ่ม PCB และ IC-based electronics components ไม่ว่าจะเป็น power modules, image sensors, digital recorders

อย่างไรก็ตาม การขาดความเชื่อมโยงไปข้างหน้าและการนำเข้าที่ยังสูงในสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะในส่วนของต้นน้ำบั่นทอนการพัฒนาศักยภาพของอุตสาหกรรม ในขณะที่สินค้าส่งออกศักยภาพสูงในส่วนปลายน้ำ ได้แก่ เครื่องพิมพ์ โดยเฉพาะกลุ่มเครื่องพิมพ์ offsetเครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้าประเภทต่างๆ ตู้เย็น ยังมีศักยภาพถึงแม้มีแนวโน้มลดลงจากการกระจุกตัวของตลาดส่งออกและการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นภายหลังสงครามการค้า

สำหรับข้อเสนอแนะเชิงนโยบายในส่วนของคลัสเตอร์ NGEC ได้แก่ 1. การต่อยอดศักยภาพของอุตสาหกรรม NGEC เพื่อให้เกิดความเชื่อมโยงตลอดห่วงโซ่อุปทานจะทำให้อุตสาหกรรม NGEC สามารถกลายมาเป็นสินค้าส่งออกศักยภาพสำคัญของไทยได้ในอนาคต การมียุทธศาสตร์ชาติที่ชัดเจน และสมเหตุสมผลมีส่วนช่วยให้ไทยเพิ่มบทบาทในห่วงโซ่อุปทานของโลกที่กำลังเปลี่ยนผ่านได้ (Supply Chain Reconfiguration) 2. ดึงเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศมาที่ไทย โดยคำนึงถึงนักลงทุนเดิมในไทยที่ต้องการขยายฐานการผลิต และนักลงทุนใหม่

3. ร่วมมือกับอาเซียนเพื่อให้มีบทบาทเป็นตัวเชื่อมสหรัฐฯ และจีน 4. การเจรจาทางการค้า FTA ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ ต้องตอบโจทย์ประเทศอย่างชัดเจน 5. ต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม และปลดล็อกนโยบายที่ไม่เอื้อต่อการลงทุน 6. ต้องไม่ถูกกล่าวหาว่าสวมสิทธิ์โดยทำงานร่วมกับสหรัฐและจีนในเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยเชื่อว่าการดำเนินการตามมาตรการเหล่านี้จะมีส่วนช่วยผลักดันให้การส่งออกในระยะสั้นเพิ่มขึ้นระหว่าง 6,000-7,900 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ก่อให้เกิดการลงทุนใหม่กว่า 70,000 ล้านบาทต่อปี

สำหรับคลัสเตอร์ NGMC รศ. ดร.วรรณพงษ์ ดุรงค์เวโรจน์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง หนึ่งในนักวิจัย กล่าวว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยมีศักยภาพการผลิตรถยนต์ดีเซล ขนาดมากกว่า 2500 ซีซี และเริ่มส่งออกรถยนต์ไฮบริด ซึ่งเป็นส่วนต่อยอดจากฐานการผลิตยานยนต์ของไทย ในขณะที่ศักยภาพในการส่งออก ยานยนต์ไฟฟ้า (BEV) ณ ขณะนี้ยังมีจำกัด การเดินหน้าสร้างซัพพลายเชนกับผู้ผลิตชิ้นส่วนของไทย เป็นหัวใจที่จะทำให้ BEV กลายมาเป็นสินค้าส่งออกศักยภาพ และพ้นข้อกล่าวหาเรื่องการสวมสิทธิ์

ทั้งนี้ แม้วันนี้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนกำลังเผชิญความท้าทายรอบด้าน แต่ประเทศไทยก็ยังมีศักยภาพในชิ้นส่วนยานยนต์หลายรายการ โดยเฉพาะชิ้นงาน Mechanic หรือการขึ้นรูป การหล่อ งานฉีด และงานเจียร ส่วนแนวทางการเพิ่มศักยภาพการผลิต คือการต่อยอดจากความสามารถในชิ้นงาน Mechanic เหล่านี้ ผ่านการรักษาความสามารถในการผลิตและส่งออกของผลิตภัณฑ์เดิม สร้างความเชื่อมโยงไปยังอุตสาหกรรมอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น อุตสาหกรรมเรือยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ เครื่องยนต์สำหรับอากาศยาน ขับเคลื่อนการทำตลาดคู่ขนานทั้งป้อนโรงงานรถยนต์ และตลาดชิ้นส่วนอะไหล่ทดแทน (Aftermarket Segment) รวมทั้งการมุ่งไปสู่การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์อัจฉริยะ (Smart Auto parts) ที่เอาชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มาสร้างมูลค่าเพิ่มกับสินค้า

รศ. ดร.วรรณพงษ์ กล่าวว่า คลัสเตอร์NGMC จะต้องมีการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อช่วยผู้ประกอบการไทยในห่วงโซ่การผลิต และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศเพื่อให้ไทยเป็น Last man Standing หมายถึงไทยต้องเดินคู่ขนานทั้งการผลิตเครื่องยนต์สันดาปที่ยังมีตลาดอยู่ และรถ EV โดยยึดเป้าหมายรถยนต์เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นหัวใจในการขับเคลื่อน ไม่ใช่ระบบขับเคลื่อน (เครื่องยนต์สันดาปภายใน หรือไฟฟ้า) การก้าวข้ามความท้าทายท่ามกลางวิกฤตที่อุตสาหกรรมเผชิญมาตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การจัดหาแหล่งเงินทุนระยะปานกลางเป็นหัวใจสำคัญ การขับเคลื่อนมาตรการเหล่านี้มีส่วนช่วยการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ในระยะสั้น 2,300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เกิดการลงทุนใหม่กว่า 70,000ล้านบาทต่อปี

นอกจากนี้ ภายในงานยังได้จัดให้มีการเสวนาหัวข้อ “ศักยภาพการส่งออกของอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของไทย” มีผู้ร่วมเสวนาจากภาคเอกชน ประกอบด้วย ดร.นัยวุฒิ วงษ์โคเมท อุปนายกสมาคมการค้าอุตสาหกรรมไทยเซมิคอนดักเตอร์ นายกิตติศักดิ์ เงินงอกงาม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายพัฒนาธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน บริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และ นายเสวก ประกิจฤทธานนท์ อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแผ่นวงจรพิมพ์ไทย (PCB) ร่วมเสวนา

นายนัยวุฒิ กล่าวว่า NGEC เป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและหลากหลายจำเป็นต้องมีแผนระดับชาติ จึงเสนอให้เร่งจัดทำแผนเซมิคอนดักเตอร์แห่งชาติ ซึ่งเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ถือเป็นหัวใจสำคัญของเทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ชิป (Chip) เร่งสร้างบุคลากร การทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชนหลายภาคส่วน เป็นเรื่องสำคัญ เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีความซับซ้อนและหลากหลาย เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมในภาพรวม

นอกจากแผนระดับชาติแล้วรัฐจำเป็นต้องสนับสนุนงบประมาณ 10,000 ล้านบาทต่อปีต่อเนื่อง 20 ปีในการพัฒนาอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิสก์ และวางกลไกสร้างความได้เปรียบให้กับผู้ประกอบการไทยในช่วงเริ่มต้น เพื่อให้เติบโตและแข่งขันได้ โดยมาตรการจัดซื้อจ้างภาครัฐจะช่วยผู้ประกอบการไทยได้มาก ยกตัวอย่างชิปที่ติดในบัตรประชาชน เป็นต้น

ทางด้าน นายเสวก กล่าวว่า แผ่นวงจรพิมพ์ หรือ PCB (printed circuit board) นับเป็นกุญแจสำคัญของเทคโนโลยี ปัจจุบันจีนซึ่งผลิตอยู่ 60% ป้อนตลาดโลกกำลังย้ายฐานมาไทย ประมาณ 50 บริษัท มูลค่าการลงทุนกว่า 2 แสนล้านบาท เพื่อลดผลกระทบจากสงครามการค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะส่งผลดีต่อไทยในการเป็นฐานสนับสนุนอุตสาหกรรมนี้ของบ้านเราให้เติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยการสนับสนุนจากภาครัฐด้วยทั้งในเรื่องมาตรการต่างๆ และการพัฒนาบุคลากรรองรับ

ขณะที่ นายกิตติศักดิ์ กล่าวว่า กลุ่มเดลต้าลงทุนปักหลักลงทุนในประเทศไทยเพื่อเป็นฐานในการส่งออก โดยได้จัดสรรเงินรายได้สัดส่วน 8.3% เพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ แม้ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอาจกระทบการดำเนินธุรกิจในระยะสั้นบ้าง แต่ไม่น่าจะส่งผลต่อทิศทางการค้าและการลงทุนในระยะยาวอย่างมีนัยสำคัญ การเตรียมรับมือกับความท้าทายที่แท้จริงในระยะยาว โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน เป็นสิ่งที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ
////

ดูข่าวต้นฉบับ
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...

ล่าสุดจาก ไทยโพสต์

เขี้ยวเล็บ ทอ. สนามรบไทย-เขมร การศึกสมัยใหม่ ‘สงครามโดรน’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ฟังดีกว่าฟ้อง

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

ขออนุญาตรำลึกถึง’แม่’

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เอาที่สบายใจครับลูกพี่!!!!!

1 ชั่วโมงที่ผ่านมา

วิดีโอแนะนำ

ข่าวและบทความทั่วไปอื่น ๆ

สภาพอากาศวันนี้ -22 ส.ค.ไทยฝนตกหนักบางแห่ง ระวังน้ำท่วมฉับพลัน

ฐานเศรษฐกิจ

วัยรุ่นกว่า 40 คนบุกบ้าน ใช้อาวุธปืน–ปาระเบิดปิงปอง หญิงวัย 42 ปีหวั่นอันตราย

THE PATTAYA NEWS

ดังไปทั่วโลก! สื่อต่างชาติรายงาน "นายหน้าค้าอาวุธรัสเซีย" ซุก "อาวุธปืนล็อตใหญ่" ในเตาไมโครเวฟเตรียมส่งเข้า “มอสโก” โดนจับได้ที่ “ไทย”

Manager Online

เขี้ยวเล็บ ทอ. สนามรบไทย-เขมร การศึกสมัยใหม่ ‘สงครามโดรน’

ไทยโพสต์

รพ.นเรศวร แจงปมบริจาคผู้ป่วยมะเร็ง ยันรักษามตามสิทธิ ไม่มีการเรียกเก็บเงินเพิ่ม

Manager Online

เพื่อไทยยัน‘อุ๊งอิ๊ง’บริสุทธิ์!

ไทยโพสต์

ฉบับวันที่ 17 สิงหาคม 2568

ไทยโพสต์

33ทูตอึ้งฝีมือเขมร ขึ้นภูมะเขือเจอกับระเบิดเพียบ/ทบ.แฉหลักฐานกัมพูชาจอมลวงโลก

ไทยโพสต์

ข่าวและบทความยอดนิยม

Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...
Loading...