เมื่อสภาพเศรษฐกิจทำให้สยามเมืองยิ้ม Land of Smile เป็น Thailand Unsmiled
ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับวิกฤตความวุ่นวายมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ความไม่แน่นอนทางการเมือง การระบาดของโควิด-19 จนถึงเหตุการณ์ล่าสุดจากการความขัดแย้งกับประเทศกัมพูชา ทำให้ประเทศไทยสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ จนทำให้จากเดิมที่ประเทศไทยได้ชื่อว่า สยามเมืองยิ้ม หรือ The Land of Smile ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เริ่มยิ้มไม่ออกและอาจกลายเป็น Thailand Unsmiled หากสถานการณ์ต่างๆ ที่ประเทศไทยกำลังเผชิญอยู่ไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งในวันนี้ คุณ วรุตม์ พรหมบุญ Managing Partner/Head of Research จาก Bondcritic ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและคร่ำหวดในการวิจัยและให้คำปรึกษาเรื่องเครดิตให้กับหลากหลายองค์กรการเงินทั่วโลก จะมาวิเคราะห์ถึงที่มาของปัญหาต่างๆ และเสนอแนะแนวทางที่ทำให้ประเทศไทยกลับมายิ้ม และแข่งขันทางเศรษฐกิจได้อีกครั้ง
ความผันผวนทางเศรษฐกิจฉุดรั้งการเจริญเติบโต
เมื่อมองย้อนกลับไปหลังวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยได้นั้นไม่ค่อยมีเสถียรภาพในระยะยาว เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง หลายครั้ง ทำให้เกิดความผันผวนของเศรษฐกิจและการเติบโตหยุดชะงั้ก ซึ่งทำให้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์สามารถไล่ ตามมาอย่างใกล้ชิด ถึงแม้ว่า GDP ต่อหัวของสามประเทศหลังจะยังต่ำกว่าไทยมาก แต่แนวโน้มนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจมองข้ามได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคาดการณ์ว่า GDP ของไทยจะเติบโตไม่ถึง 2% ในปีนี้ มิหนำซ้ำยังมีความขัดแย้งทางทหารกับกัมพูชาและความไม่แน่นอนจากมาตรการภาษีของทรัมป์ที่ 19% สำหรับสินค้าไทย จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความยากลำบากอย่างแน่นอนในปีนี้
การทุจริตที่ยังคงมีอยู่ และสถานการณ์การคอร์รัปชันที่น่ากังวล
ปัญหาการคอร์รัปชันของไทยกำลังเพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน เห็นได้จาก ดัชนีการรับรู้การทุจริต (Corruption Perception Index หรือ CPI) ซึ่งอันดับของประเทศไทยได้ลดลงอย่างรวดเร็วตลอดช่วงเวลา 20 ปีที่ผ่านมา จากอันดับที่ 64 ในปี 2004 ลงมาอยู่ที่อันดับ 107 ในปี 2024 ซึ่งอันดับการรับรู้การทุจริตของไทยนั้นอยู่ในระดับเดียวกับบราซิล, ไนเจอร์, เนปาล, มาลาวี และแอลจีเรีย และยังต่ำกว่าหลายประเทศที่มีชื่อเสียงด้านปัญหาคอร์รัปชัน ในทางกลับกัน ประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคอย่างอินโดนีเซียและเวียดนามมีอันดับที่ดีขึ้น ประเทศไทยจึงจำเป็นที่จะต้องพัฒนา ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุล (Check and Balance) เพื่อควบคุมการทุจริตอย่างจริงจังและแท้จริง
การขยายตัวของสังคมสูงวัยและ กับดักทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการท่องเที่ยว
ประเทศไทยกำลังเข้าสู่ สังคมสูงวัย การมีประชากรวัยแรงงานที่ลดลงและจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้น หมายความว่าไทยจำเป็นต้องสร้างรายได้ให้มากขึ้นด้วยจำนวนคนน้อยลง ซึ่งต้องอาศัยการผลิตสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยยังคงยึดติดกับอุตสาหกรรมการส่งออกเดิม ๆ (เช่น เกษตรกรรม ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และรถยนต์) ซึ่งบางส่วนเป็นการส่งออกซ้ำจากหลายประเทศ เช่น จีน ทำให้ต้องเจอกับการแข่งขันที่เข้มข้นและท้าทายอย่างมาก
ในประเทศไทยนั้นคนชั้นกลางและชนชั้นล่างมีรายได้ไม่มากนัก ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่ราคาถูกและทำรายได้มหาศาลในแต่ละปี แต่รายได้จำนวนมากจากการท่องเที่ยวนี้เองที่ทำให้ รัฐบาล ผู้ที่เกี่ยวข้องรวมถึงประชาชนเกิดความชะล่าใจในการปรับปรุงโครงสร้างเศรษฐกิจเพื่อเพิ่มรายได้ของประชากร จึงทำให้ ประเทศไทยอยู่ในสภาวะเสพติดรายได้จากการท่องเที่ยว หรือติด "กับดัก" ทำให้ประเทศไทยยังคงยึดติดกับการท่องเที่ยวอย่างมาก และมีโครงสร้างเศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหวกับการท่องเที่ยวอย่างมาก
เพิ่มการมีส่วนร่วมของทุกๆ คนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Economy)
จากแนวโน้มจำนวนแรงงานที่ลดลง ประเทศไทยจึงจำเป็นต้องมีแรงงานจากต่างชาติมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการปฏิรูปนโยบายการทำงานของคนต่างชาติ นอกจากนี้ ประเทศไทยยังต้องสร้างบรรยากาศให้คู่รักวัยหนุ่มสาวรู้สึกสบายใจที่จะสร้างครอบครัวและเลี้ยงดูบุตรได้มากขึ้น ในส่วนการลงทุนของภาครัฐควรเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยให้ผู้คนมีรายได้มากขึ้นตามไปด้วย และประเทศไทยจำเป็นต้องทำให้แน่ใจว่ากิจการ "ศูนย์เหรียญ" และแพลตฟอร์มต่างชาติอย่าง YouTube หรือ Lazada มีส่วนร่วมกับสังคมมากขึ้น ด้วยการจ้างงานคนไทยและจ่ายภาษีอย่างเป็นธรรม
การจะมี เศรษฐกิจแบบมีส่วนร่วม (Inclusive Economy) ได้นั้น ประเทศไทยไม่เพียงต้องการแรงงานที่มีคุณภาพ แต่ยังต้องเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้เข้าถึงคำแนะนำและแหล่งเงินทุนด้วย ถึงแม้ชนชั้นกลางจะเติบโตขึ้น แต่การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจยังไม่เพียงพอการหาแหล่งเงินทุนสำหรับ SME และ Start-up เป็นเรื่องยาก ในขณะที่อัตราผลตอบแทนที่ต่ำเอื้อให้บริษัทใหญ่กู้ยืมได้ง่าย แต่ SME และบุคคลทั่วไปกลับกู้ยากหรือต้องกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงมาก ธนาคารมีกำไรส่วนต่างดอกเบี้ยสูง (หรือที่เรียกว่า Net Interest Margin) และไม่ได้รับอนุญาต จากธนาคารแห่งประเทศไทยให้เสี่ยงมากนัก ซึ่งความจริงการทำให้ตระหนักเรื่องความเสี่ยงเป็นสิ่งที่ดี แต่ ความเสี่ยงเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจไม่ใช่ห้ามไม่ให้มีความเสี่ยง ทำให้ท้ายที่สุดแล้ว ความกังวลต่อความเสี่ยงของภาครัฐได้จำกัดการเข้าถึงแหล่งเงินทุนของชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง
ปัญหาของประเทศไทยนั้นเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยมาตรการระยะสั้น การขาดดุลงบประมาณ ภาครัฐบาล เป็นผลมาจากการเติบโตที่ชะลอตัวและนโยบายการใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ไม่เป็นผล ซึ่งเกิดมาจากการ คอรัปชั่น และระบบอุปถัมภ์ที่ไม่สามารถเอาคนที่มีความสามารถเหมาะแก่งานมาทำงานให้ประชาชน นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนที่ต่ำสำหรับนักลงทุนในประเทศยังเอื้อให้รัฐบาลและบริษัทขนาดใหญ่สามารถออกพันธบัตรในสกุลเงินบาทได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต หรือแม้แต่การปรับปรุงโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคม ซึ่งแม้ว่าประเทศไทยนั้นยังไม่ใช่รัฐที่ล้มเหลว แต่หากไม่มีการปฏิรูป เปลี่ยนแปลงใดๆ ประเทศไทยก็อาจมุ่งหน้าไปในทิศทางนั้นในระยะยาว