กัมพูชาดรามาโฆษกนางงาม
ดรามาตั้งนางงามเป็นโฆษก ศบ.ทก. “ภูมิธรรม” เผย "บุ๋ม ปนัดดา" สมน้ำสมเนื้อกับ "มาลี" ชี้กองทัพพร้อมประสานข้อมูลเต็มที่ ไม่อยากให้เห็นภาพใช้โฆษกชายไปโต้แย้ง ด้าน “บุ๋ม” ลั่น! เหตุผลเดียวที่รับปากมาช่วยกองทัพ เพราะมีใจรักในแผ่นดินเกิด รู้ดีถึงเวลาต้องสื่อสารจริง ไม่เน้นการปะทะ มุ่งเน้นเสรีภาพและการทูต ขณะที่สื่อเขมรขนทัวร์มาลง เหน็บพรมแดนไม่ได้ถูกตัดสินจากความสง่างามและชุดราตรี
เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2568 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ตั้งนางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี เป็นโฆษกจิตอาสา ศูนย์บริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ที่หลายคนตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีความไม่เหมาะสมเรื่องของข้อมูลและความน่าเชื่อถือว่า นางสาวปนัดดาเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่มีผู้ติดตามจำนวนมาก และมีความสนใจในเรื่องบ้านเมือง ซึ่งข้อมูลด้านการทหารอาจจะรู้ไม่เยอะเท่ากับเจ้าหน้าที่ทหาร แต่มีความตั้งใจ อีกทั้งการเข้ามารับตำแหน่งก็เป็นการเสนอจากผู้บัญชาการเหล่าทัพ ซึ่งตนคิดว่าเรื่องของการได้ข้อมูล เมื่อทางทหารสนับสนุนก็จะสามารถทำงานได้ดี
รักษาการนายกฯ กล่าวอีกว่า ทั้งพลโทหญิงมาลี โสเจียตา โฆษกกลาโหมกัมพูชาเป็นผู้หญิง เราไม่อยากให้รู้สึกเหมือนว่าใช้โฆษกทหารที่เป็นผู้ชายไปโต้แย้ง เราอาจจะเสียเปรียบกว่า ซึ่งเห็นว่านางสาวปนัดดามีความเหมาะสมอยู่แล้ว
“เรื่องข้อมูลก็ให้ประสานกับกองทัพอย่างเต็มที่ ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ตรงนี้ผมคิดว่าสมน้ำสมเนื้อ”
ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูลที่นางสาวปนัดดาจะพูดออกมาเป็นการกลั่นกรองมาจากทางกองทัพใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ประมาณนั้น รอที่ผ่านมามีการประสานและนำข้อมูลไปช่วยเหลืออยู่แล้ว
ด้านนางสาวปนัดดา วงศ์ผู้ดี โพสต์เฟซบุ๊กว่า ตัวบุ๋มเองเป็นเพียงโฆษก ศบ.ทก. ภาคประชาชน ไม่ได้มีตำแหน่งอะไรเป็นทางการ ทำหน้าที่ในมุมจิตอาสา เลยไม่เข้าใจว่า มันทำให้บางกลุ่มต้องรวมพลัง ดาหน้ามาโจมตีด้วยเหตุผลอะไรนะคะ
อยากเรียนแจ้งว่า ถ้าถึงเวลาต้องสื่อสารจริง บุ๋มเข้าใจดีค่ะว่าต้องทำหน้าที่เจรจา แนะนำเสนอในข่าวที่เป็นความจริง ไม่เน้นการปะทะ มุ่งเน้นเสรีภาพและการทูต เลยไม่เข้าใจว่า ยังไม่ทันจะปฏิบัติหน้าที่แม้แต่ครั้งเดียว ก็กลายเป็นเป้านิ่งให้โจมตีเพราะอะไร
เหตุผลเดียวที่รับปากมาช่วยกองทัพ เพราะมีใจรักในแผ่นดินเกิด และอยากใช้ปากเสียงของตนเองชี้แจงในมุมที่ประเทศเราตกอยู่ในข้อครหาผิดๆ เท่านั้นเองค่ะ
ขณะที่พนมเปญโพสต์ สื่อยักษ์ใหญ่ของกัมพูชา พาดหัวข่าวตัวใหญ่ว่า "Thailand Brings a Tiara; Cambodia Brings the Truth" แปลเป็นไทยว่า ประเทศไทยใช้มงกุฎความงาม กัมพูชาใช้ความจริง รายละเอียดข่าวมีเนื้อหาเหน็บแนมระบุว่า ไม่บ่อยนักที่อดีตนางสาวไทยจะได้รับมอบหมายให้ปกป้องสิทธิเหนือดินแดนของประเทศ แต่นี่คือสิ่งที่ประเทศไทยได้ตัดสินใจแล้วว่า ในบริบทของข้อพิพาทชายแดนที่ซับซ้อนและยาวนานหลายทศวรรษ อาวุธที่ดีที่สุดในคลังแสงคือ โฆษกอาสาสมัคร ที่มีมงกุฎความงาม แม้บางคนจะชื่นชม แต่ส่วนใหญ่คงมองว่าการกระทำของไทยเป็นเพียงกลอุบาย ที่ไทยเชื่อว่า หากข้อเท็จจริงไม่เข้าข้าง จึงลองเปลี่ยนวิธีด้วยการนำรอยยิ้มอันมีเสน่ห์เข้ามาช่วย สื่อกัมพูชายังทิ้งคำถามด้วยว่า สิ่งนี้คือกลยุทธ์การสื่อสารสาธารณะใช่หรือไม่
พนมเปญโพสต์ยังอ้างว่า กัมพูชาต้องต่อสู้กับข่าวปลอมมานาน ก่อนที่ข้อพิพาทนี้จะปะทุขึ้นเสียอีก และมีการรณรงค์โครงการ "Say No to Fake News" มาเป็นเวลา 7 เดือนแล้ว แต่อันที่จริงรัฐบาลกัมพูชาพยายามต่อต้านข้อมูลบิดเบือนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว โดยได้รับการสนับสนุนจากการศึกษาสาธารณะ การฝึกอบรมความรู้ด้านสื่อ และระบบตรวจสอบข้อเท็จจริงแบบเร่งด่วน ความพยายามเหล่านี้ล้วนเป็นเชิงรุก มีความรับผิดชอบ และสอดคล้องกับการยอมรับในระดับนานาชาติ
“ผลงานที่ผ่านมาทำให้จุดยืนของกัมพูชาเกี่ยวกับข้อพิพาทนี้น่าเชื่อถือมากขึ้น เพราะเรายึดมั่นในหลักการเดียวกัน เราไม่ต้องการเวที มงกุฎ หรือการแถลงข่าวที่ตื่นตาตื่นใจเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหาของเรา เรามีเอกสารสำคัญ แผนที่ สนธิสัญญา และเครื่องมือทางกฎหมายระหว่างประเทศที่มีความสำคัญยิ่งกว่าเสียงใดๆ”
ในทางตรงกันข้าม การเคลื่อนไหวของไทยบ่งบอกถึงกลยุทธ์ด้านสื่อมากกว่าเรื่องพรมแดน มันคือการเปลี่ยนจากการทูตไปสู่การเบี่ยงเบนความสนใจ เปลี่ยนประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอำนาจอธิปไตยของชาติให้กลายเป็นโรงละครแห่งเสน่ห์ และในโรงละคร ผู้ชมอาจปรบมือ แต่พวกเขาแทบไม่ได้แนวทางที่ชัดเจน
กัมพูชาตอบโต้ด้วยเอกสาร หลักฐาน และความน่าเชื่อถือของประเทศที่มุ่งมั่นต่อสู้กับข้อมูลเท็จอยู่แล้ว ส่วนไทยตอบโต้ด้วยการปรับโฉมการประชาสัมพันธ์ หากนี่เป็นการประกวดชุดประจำชาติยอดเยี่ยม บางทีอาจจะได้ผล แต่พรมแดนไม่ได้ถูกตัดสินจากความสง่างามและชุดราตรี แต่ถูกตัดสินด้วยประวัติศาสตร์และกฎหมาย
พนมเปญโพสต์สรุปว่า กัมพูชาจะยังคงทำในสิ่งที่เคยทำมาโดยตลอด นั่นคือการนำเสนอข้อเท็จจริง ปกป้องอธิปไตย และยึดมั่นในความจริงโดยยึดหลักการ ไม่ใช่การแสดง และเมื่อถึงเวลาสุดท้าย ข้อเท็จจริงจะยังคงอยู่ พรมแดนจะยังคงอยู่ และประเทศกัมพูชาก็จะยังคงอยู่อย่างสมบูรณ์.