ครอบครัวที่ไม่มีเงื่อนไข และไร้คำนิยาม ในแบบของ ‘ย่าตุ๊ก’ ‘ปู่กัญจน์’ กับ 30 ปี ของความรักเต็มหัวใจที่ไม่ต้องการคำจำกัดความ ภายใต้แคมเปญ ‘Just Don't Judge’ จากแสนสิริ
สารภาพตรงๆ ว่าแค่ได้นั่งอยู่ใกล้ๆ คู่รักสูงวัยคู่นี้ เราก็สามารถสัมผัสได้ถึงมวลพลังงานอบอุ่นลอยอยู่ตรงนั้นอย่างบอกไม่ถูก
ไม่ใช่เพียงเพราะว่าทั้งคู่คือคู่รักที่ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันมานานเกือบครึ่งทศวรรษ แต่กว่าครึ่งทศวรรษนั้นต่างหากที่ไม่ได้ราบเรียบไร้อุปสรรค และทำให้พวกท่านต้องพิสูจน์ตัวเองทุกวิถีทาง ฝ่าฝันสิ่งต่างๆ มาด้วยกัน
เพราะหากย้อนกลับไปเมื่อหลายสิบปีก่อน ตอนที่ ‘คุณย่าตุ๊ก - ปกชกร วงศ์สุภาร์’ และ ‘คุณปู่กัญจน์ เกิดมีมูล’ ปิ๊งรักกันใหม่ๆ การเปิดตัวถึงเพศสภาพอันหลากหลาย และเลือกมาใช้ชีวิตร่วมกันของคุณปู่คุณย่าในเวลานั้นต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาไม่น้อยเลย ไหนจะคำถามจากคนรอบข้าง ไหนจะการถูกวิจารณ์ตัดสินจากสังคมที่อาจยังไม่ได้มีความเข้าใจเรื่องความหลากหลาย
จนกระทั่งวันนี้ที่ปู่กัญจน์และย่าตุ๊กเป็นหนึ่งในคู่รักอินฟลูฯ ที่มีแฟนคลับเยอะแยะมากมายที่กลายมาเป็นสมาชิกในครอบครัวของทั้งคู่ จากการทำคอนเทนต์บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตประจำวันธรรมดาแต่แสนจะอบอุ่น ผ่านช่อง Tiktok ชื่อว่า ‘ปู่กะย่า’ (Pukaya.family) ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้กับใครหลายคนรวมทั้งเรา ในการมองหาแง่งามของชีวิตอีกรูปแบบหนึ่งที่ไม่ต้องการคำนิยามว่าเป็นใคร วัยไหน หรือว่าเป็นเพศอะไร ทุกคนต่างมีสิทธิ์ที่จะมีความสุข ได้เลือก ได้รักคนที่อยากจะรัก และได้มีครอบครัวในแบบที่อยากจะมี
และเพราะความเชื่อในความรักไม่จำกัดนิยามเหมือนกันนี้เองที่แสนสิริ ชวนคุณปู่กัญจ์กับคุณย่าตุ๊ก ตัวแทนคนรุ่นเก่าแต่หัวใจวัยรุ่น มาเป็นอีกเสียงที่จะสนับสนุนความหลากหลายในสังคม ผ่านแคมเปญ ‘Just Don't Judge’ เพื่อหยุดตีกรอบ หยุดตัดสิน แล้วเริ่มต้นด้วยความเข้าใจว่าการเคารพในตัวตนของกันและกัน คือรากฐานของสังคมที่เท่าเทียมอย่างแท้จริง
“เมื่อก่อนคนชอบถามว่า เราสองคนคบหากันนี่เป็นเพื่อนกันหรือเป็นอะไร มันมีแต่ความสงสัย เพราะมันนิยามไม่ได้ว่าเราเป็นอะไร ซึ่งเราสองคนก็ไม่อธิบายอะไรมากนะคะ ปล่อยให้เขาคิดกันเอาเอง” คุณย่าเล่า “ย่าจะถูกถามตลอดว่าทำไมไม่มีแฟน ทำไมยังเป็นโสด คนสวยอย่างเราทำไมไม่มีแฟน (หัวเราะ)”
ไม่ว่าสถานะ กับรูปแบบความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะเป็นอย่างไร คุณปู่คุณย่าบอกว่าพวกท่านมีคำนิยามในความสัมพันธ์นี้ชัดเจนแจ่มแจ้งอยู่ในใจของกันและกันมานานแล้ว…
To All Good Days, Bad Days
คุณย่าเล่าว่าก่อนหน้านั้น ชีวิตของทั้งคู่ก็เหมือนคนทั่วไปที่เคยผ่านการแต่งงานมีครอบครัว และการเจอกัน ตกหลุมรักกันในเวลานั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้เลยแบบง่ายดายนัก เพราะก่อนหน้านี้คุณย่าใช้ชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ส่วนคุณปู่ทำงานที่กรุงเทพฯ ทำให้ทั้งคู่ต้องเดินทางไปๆ มาๆ อยู่นานหลายปี ก่อนที่จะตัดสินใจว่าเอาล่ะ คุณย่าจะย้ายมาอยู่ที่บ้านสวนของคุณปู่ในย่านฝั่งธนฯ ของกรุงเทพฯ ด้วยกัน
“ตอนนั้นเราคบกันแล้วล่ะ และปกติปู่ก็อยู่บ้านคนเดียว เห็นย่าเขาต้องเดินทางไป-กลับ ขึ้นรถอะไรก็ต้องลำบาก ปู่เลยชวนเขาว่ามาอยู่ด้วยกันไหม แต่จริงๆ ปู่อยากให้ย่ามาอยู่ด้วยตั้งนานแล้วนนะ แต่เป็นฝ่ายย่าเองที่ยังลังเลไม่แน่ใจ” คุณปู่กัญจน์เล่าถึงความหลัง
ทว่าประสบการณ์เหล่านี้ดูเหมือนจะหนักหนากว่าในฝั่งคุณย่า “เราก็ใช้ชีวิตปกติของเราไป ตลอดช่วงเวลานั้นก็จะมีคนรอบข้างถามต่อๆ กันมาบ้างเหมือนกันเรื่องความสัมพันธ์ของเรา เพราะในยุคก่อน เรื่องพวกนี้มักถูกมองว่าน่าอับอาย เป็นเรื่องที่สังคมไม่ยอมรับ มองเป็นความผิดแปลก ถึงขั้นที่บางคนใช้คำพูดว่า ‘วิปริต’ เลยนะ ย่าไม่เคยได้ยินตรงๆ หรอก แต่จะมีคนมาบอกเล่าให้ฟังมากกว่าว่าเราโดนพูดถึงอย่างไรบ้าง ส่วนทางคุณปู่เขาจะไม่เคยเจอคำพูดอะไรแบบนี้เท่าไร เพราะเขาเป็นคนกรุงเทพฯ สังคมของเขาค่อนข้างสมัยใหม่ ย่าอยู่ในสังคมต่างจังหวัด ก็จะเจออะไรแบบนี้มากกว่า”
เราถามทั้งคู่ว่าจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ความทุกข์ใจจากคำวิพากษ์วิจารณ์ตรงนั้นยังมีอยู่ไหม คุณย่าบอกว่าโดยนิสัยแล้วเธอไม่ใช่คนที่สนใจคำพูดของคนอื่นมากนัก แม้ว่าบางครั้งก็อดไม่ได้เหมือนกัน
“ในใจเรารู้ดีว่าเราคือใคร เราเป็นอะไร เราใช้ชีวิตอย่างไร คนนอกเขาไม่ได้มารู้กับเรา แต่พอผ่านมาถึงวันนี้ก็ยังดีนะ สมัยก่อนไม่ได้มีโซเชียลมีเดีย จะโดนบุลลี่ โดนด่าอะไรมันก็เกิดขึ้นแค่วงแคบๆ หรือพูดผ่านกันมา แต่ปัจจุบันพอมีโซเชียลฯ เชื่อไหมคะว่าอายุเราเท่านี้ก็ยังโดน ยังถูก Judge อยู่เลย ยังมีคนที่ไม่เห็นด้วยกับความหลากหลายทางเพศ เข้ามาคอมเมนต์ โดยที่เราก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีอคติอะไรขนาดนั้นกับเรา”
“ปู่กับย่าผ่านจุดนั้นมาแล้ว เราใช้ชีวิตมาถึงบั้นปลาย คือสูงวัยแล้ว (หัวเราะ) แต่ใจเราไม่สูงวัยนะ ใจเรายังมีความสุข ยังคุยกับ FC รุ่นลูกรุ่นหลาน ไปเที่ยวด้วยกันได้ เรามีความสุขมากกับการอยู่แบบนี้” คุณย่าบอก
To the Revolution
ถึงวันนี้คุณปู่กัญจน์กับคุณย่าตุ๊กผ่านการใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมานาน 30 กว่าปีแล้ว และได้เห็นวันที่กฎหมายไทยรับรองให้การจดทะเบียนสมรสของคนทุกเพศสามารถทำได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งนับว่าเป็นหนึ่งในหมุดหมายสำคัญของการ ‘ปฏิวัติ’ ที่ทั้งคู่ในฐานะคู่รัก LGBTQ+ ยุคบุกเบิกต่างรู้สึกยินดีไม่น้อยไปกว่าใคร
“ประโยชน์ของสมรสเท่าเทียมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่ายินดีอยู่แล้ว ดีใจเราเองก็เป็นส่วนเล็กๆ ในสังคมที่ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมได้เหมือนกัน เพราะยังมีอีกหลายคนที่ครอบครัวไม่เห็นด้วย ไม่ยอมรับ การมีปู่กับย่าออกมาแสดงจุดยืนให้เห็นว่คู่รักที่อยู่ด้วยกันนานแบบนี้มีอยู่จริงๆ” คุณย่าเล่าถึงวันที่ทั้งคู่พากันไปจดทะเบียนในวัน 23 มกราคม 2568 หลังกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่านเป็นที่เรียบร้อย นั่นทำให้เรื่องราวของคุณปู่กัญจน์และคุณย่าตุ๊กเป็นที่จับตามองไม่ใช่แค่เฉพาะในสื่อไทย แต่ยังดังไปไกลถึงต่างประเทศที่มาทำข่าวเรื่องราวของทั้งคู่ด้วย
“เวลาเราไปร่วมงานต่างๆ คนรุ่นใหม่เขาก็จะภูมิใจว่ามีคนแบบเราเป็นต้นแบบ เป็นตัวอย่างให้เห็นว่าสามารถใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ และเราจะไปตีตราว่าต้องเพศเดียวกันถึงจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันได้ มันไม่ใช่อีกแล้ว”
อย่างไรก็ตาม ทั้งคู่มองว่าการมาถึงของกฎหมายสมรสเท่าเทียมอาจยังไม่ได้ครอบคลุม หรือตอบโจทย์การใช้ชีวิตของกลุ่มคนเพศหลากหลายทั้งหมด เพราะนอกเหนือจากสิ่งที่คุณปู่คุณย่าเคยกังวลที่สุดก่อนหน้านี้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการมีสิทธิ์ตัดสินใจในยามเจ็บป่วยวิกฤติในฐานะสามี-ภรรยาตามกฎหมาย หรือมีสิทธิ์รับมรดกหากอีกฝ่ายจากไปก่อน ถึงตอนนี้ที่กฎหมายยังคงต้องพิจารณาในแง่มุมอื่นๆ เช่นการสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ของคนเพศหลากหลายอย่างเท่าเทียมเฉกเช่นคนอื่นๆ ในสังคมต่อจากนี้ด้วย
“ไม่ใช่แค่เรื่องเจ็บป่วย ยังรวมถึงเรื่องทรัพย์สิน การใช้สิทธิ์ของคู่สมรสที่รับราชการ การมีบุตร รับบุตรบุญธรรมมาเลี้ยง การตั้งครรภ์ด้วยตัวเอง สิทธิ์การเป็นพ่อเป็นแม่ หรืออย่างเรื่องคำนำหน้าบุพการีที่กำลังถกเถียงกันอยู ฯลฯ มันจะมีประโยชน์อีกเยอะมาก ถ้ากฎหมายผลักดันเรื่องพวกนี้ต่อ”
To live Here and Now
การที่คนสองคนจะอยู่ด้วยกันมานานขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และแน่นอนว่าอายุที่เพิ่มมากขึ้นยิ่งเพิ่มความกังวลในการใช้ชีวิตมากขึ้นกว่าตอนยังเป็นหนุ่มเป็นสาว เราถามคุณปู่คุณย่าว่าการที่ทั้งคู่เป็นผู้สูงวัยที่อยู่ด้วยกันตามลำพัง 2 คนในบ้านที่ไม่มีลูกหลานคอยดูแล กังวลไหมถ้าหากวันหนึ่งความไม่แน่นอนของชีวิตอาจพาให้ต้องเจ็บป่วยหรือล้มหมอนนอนเสื่อ
คุณย่าบอกเราว่าไม่กังวลเลย เพราะจนตอนนี้ท่านอายุ 68 ปี แล้วก็ยังแข็งแรงดี ไม่มีโรคประจำตัว ยังไม่ต้องไปหาหมอ แถมยังใช้ชีวิตเหมือนวัยรุ่น ไปเที่ยวต่างจังหวัด (คุณย่าเป็นคนชอบขับรถไปมาไหนเองด้วย!) เคล็ดลับที่คุณย่าบอกกับเราคือ ขอแค่มั่นใจในการใช้ชีวิต นั่นแหละที่ทำให้หัวใจของทั้งคู่ยังคงเป็นวัยรุ่น
“เราเคยคุยกันไว้ตั้งแต่เเรกแล้วว่าเราจะยึดที่ตัวเองเป็นหลัก จะไม่พึ่งพาใคร ไม่เป็นภาระใคร แม้แต่เรื่องการใช้ชีวิตประจำวัน เราก็จะเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า เช่น เรื่องการเงิน การดูแลตัวเอง หรือเรื่องอาหารการกินเราก็ทำกันเอง อะไรแบบนั้น เรารู้สึกว่าเราเป็นคนคุณภาพมากพอ ย่าจะพยายามดูแลตัวเองอย่างดี และบอกกับปู่แบบนี้เหมือนกัน เพราะปู่เป็นคนที่ไม่ได้ใส่ใจตัวเองมากเท่าไร เขาชอบตามใจตัวเอง ไม่ค่อยสนใจสุขภาพเท่าย่า เพราะฉะนั้นสิ่งที่ได้รับมันก็ปรากฏในวันหนึ่ง ถ้าปู่เลือกเช่นนี้ ปู่ก็ได้สิ่งนี้ ทำแบบไหน ก็จะได้ผลแบบนั้น” เมื่อพูดมาถึงตรงนี้ คุณปู่มองคุณย่าแล้วยิ้มเล็กๆ “คุณปู่เขาก็จะมีความกังวลอะไรของเขามากกว่าหน่อย ใช่ไหม” คุณย่าหันไปถามคุณปู่
“มันก็มีรู้สึกบ้าง” คุณปู่กัญจน์ตอบ “คือมีความกังวลว่าพอแก่ตัวไปแล้ว สมมติย่าเป็นอะไรไปก่อน ปู่จะอยู่อย่างไร เพราะปู่จะอยู่โดยไม่มีย่าไม่ได้”
“ย่าจะบอกเขาตลอดว่าความตายมันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้หมายความว่าปู่เกิดก่อนแล้วจะตายก่อนนะ เพราะอะไรก็ไม่แน่นอน เราเห็นคนเกิดทีหลัง คนอายุน้อยๆ ตายก่อนก็เยอะใช่ไหม” คุณย่าบอกว่าทั้งคู่วางแผนเรื่องการจัดการร่างกายหากจากโลกนี้ไปเรียบร้อย แม้กระทั่งสั่งเสียกับญาติพี่น้องเอาไว้แล้วด้วย
“พอได้ไปร่วมกิจกรรมเตรียมตัวก่อนตาย ทำให้รู้ว่าการจัดการกับชีวิตก่อนเราตายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก สำหรับคนข้างหลังที่เขาจะได้ไม่ต้องวุ่นวาย อย่างที่เราเห็นหลายๆ เคส แม้แต่บางครอบครัวที่รักกันดี พอพ่อแม่จากไปแบบไม่ได้เตรียมอะไรไว้ ก็มักจะมีปัญหาตามมาเยอะแยะ” คุณย่าเล่า
“คุณปู่เขาจะมี ‘สมุดวาดใจ’ ของตัวเอง ซึ่งย่าก็มีหมือนกัน จะเขียนเอาไว้หมดว่าต้องการแบบไหน ต้องการจัดศพอย่างไร ข้าวของอะไรต่างๆ ต้องเอาไปไหนบ้าง คติของคุณย่าคืออย่าไปกังวลอะไร เหลือแค่จิตใจของคุณปู่ที่อาจจะต้องทำใจหน่อย เพราะเขาแก่มากแล้ว (หัวเราะ) “ตอนนี้เราตระหนักได้ถึงคุณค่าของชีวิต บอกรักตัวเองทุกวัน บอกขอบคุณร่างกาย ขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน ขอบคุณที่มันไม่งอแง ไม่เป็นนั่นเป็นนี่ และสัญญาว่าจะดูแลมันอย่างดี”
To be a Family
‘บ้าน’ ในอุดมคติที่คุณปู่คุณย่ามองว่าเหมาะกับการใช้ชีวิตด้วยกันไปจนแก่เฒ่าได้โดยอาจไม่จำเป็นต้องมีลูกหลานคอยดูแล ควรเป็นอย่างไร บ้านที่คุณปู่คุณย่าอยู่ทุกวันนี้ มันตอบโจทย์การใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
“ในแง่ของบ้านจริงๆ ทุกวันนี้ ถ้าเอาความชราของปู่มาก่อนก็น่าเป็นห่วง อย่างห้องนอนอยู่ชั้น 2 ย่าเองยังเดินขึ้นลงได้ มันเคยชิน แต่ปู่จะไม่ค่อยตอบโจทย์ละ เพราะถ้าขึ้นแล้วก็ไม่ต้องลงมาเลย (หัวเราะ) เราก็เลยวางแผนกันว่าปีหน้าน่าจะลงมาอยู่ข้างล่างแล้ว ตอนนี้กำลังวางแผนปรับปรุง และเราก็เพิ่งทำบ้านเป็นคาเฟ่เล็กๆ ไว้ให้คุณปู่ทำเล่นๆ แก้เหงาด้วยค่ะ”
คุณปู่เล่าว่าเมื่อก่อนเคยเป็นเชฟอยู่อเมริกา และทำผัดไทยสูตรโบราณได้อร่อยมากจนหลายคนติดใจ มาขอฝากท้องไว้กับพวกท่านอยู่เสมอ เหมือนเป็นเซฟโซนให้กับใครก็ตามที่อยากมาฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกหลาน และทั้งคู่ก็ยินดีมากๆ
เพราะคำว่า ‘บ้าน’ ในแบบของคุณปู่คุณย่า ไม่มีเงื่อนไข ไม่มีเส้นแบ่ง อะไรทั้งนั้น
“ทุกวันนี้ก็เหมือนครอบครัวแล้ว มากันเต็มบ้าน บางคนบอกว่ามาบ้านปู่กับย่าเหมือนมาบ้านญาติผู้ใหญ่ มันรู้สึกอบอุ่น มาทานข้าวได้ นอนได้ หรือบางทีเขาก็สรรหามาทำกับข้าวกันเอง บางคนก็เข้ามามากอด มาหอม แต่ไม่ว่าอย่างไร ถ้าได้ทานผัดไทยฝีมือปู่กันแล้ว จะไปทานข้างนอกไม่ได้อีกเลย” คุณปู่กัญจน์บอกอย่างภูมิใจ
“ทุกวันนี้เราก็ทำคอนเทนต์อะไรกันไป เพื่อหวังว่ามันจะเป็นคอมมูนิตี้ และส่งกำลังใจให้ทั้งผู้สูงวัย รวมถึงคนอื่นๆ ด้วย ถ้ายังมีชีวิตอยู่ถึง 80 ปี นั่นแปลว่าอีก 12 ปีข้างหน้า ต้องมองเห็นตัวเองแล้วว่าจะเป็นแบบไหน จะอยู่แบบช่วยเหลือตัวเองได้ และต้องช่วยเหลือสังคมได้ด้วยนะ”
เมื่อถามว่าเคล็ดลับสำคัญที่ทำให้คุณปู่คุณย่าใช้ชีวิตคู่อย่างยั่งยืนมานานร่วม 30 ปีคืออะไร คุณปู่กัญจน์บอกว่า เป็นเรื่องปกติที่ชีวิตคู่ต้องมีวันที่ไม่เข้าใจกัน เถียงกันบ้าง ความเห็นไม่ตรงกันบ้างเป็นเรื่องปกติ คนไม่เถียงกันสิแปลก! “ถ้าเรารู้ว่าเราผิดก็ขอโทษ โกรธกันก็อย่าให้ข้ามวัน หนักนิดเบาหน่อย ก็อภัยให้กัน อย่าทะเลาะกันนาน” คุณปู่หันไปอ้อนคุณย่า
“ทุกวันนี้ย่าก็มีความสุขอยู่ด้วยสิ่งนี้แหละ มันเป็นนำทิพย์ชโลมใจ คำว่าครอบครัวบางทีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นครอบครัวจริงๆ แต่มันคือบ้าน มีความอบอุ่น มีความรู้สึกว่าเมื่อไรก็ตามที่ไม่ไหวแล้ว อยากมาอยู่ตรงนี้ มากอดใครสักคน หรือเราคิดถึงเขา เราก็อยากกอดเขา และบอกเขาได้ว่า ‘คิดถึงจังเลย เมื่อไหร่จะมาให้กอด’ แบบนี้น่ะ”
“นี่คือความสุขในวันนี้ของย่ากับปู่ คือครอบครัวในแบบของเราค่ะ”
To Build a Home
คุณปู่กัญจน์กับคุณย่าตุ๊ก คือส่วนหนึ่งของภาพที่สะท้อนว่าประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) อย่างเต็มตัว อีกทั้งในปัจจุบัน รูปแบบของครอบครัวก็ได้เปลี่ยนแปลงไปเป็นรูปแบบครอบครัวขยายมากขึ้น ประกอบไปด้วยคนหลากหลายเจนเนอเรชั่น ทั้งคนหนุ่มสาว คนวัยทำงาน ไปจนถึงคนวัยเกษียณ และเด็กๆ รุ่นลูกหลาน
ในมุมของ ‘คุณสมัชชา พรหมสิริ’ Chief of Staff บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้คลุกคลีและเฝ้ามองการเติบโตที่ผ่านมาตลอดกว่า 40 ปี ของแสนสิริ จึงมองว่าบ้านในแบบของแสนสิริไม่ใช่เพียงแค่ต้องตอบโจทย์ดีไซน์หรือเทรนด์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วเท่านั้น แต่ยังต้องตอบโจทย์เรื่องของฟังก์ชั่น ไปพร้อมกับสร้างระบบนิเวศน์ให้เหมาะกับคนทุกเจนฯ เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันได้จริงๆ ในพื้นที่ที่มีความสุขในแบบของตัวเองด้วย
“ในฐานะที่เราเป็นภาคเอกชน เราอาจมีโอกาสและมีอิสระในการจุดประกาย จุดอารมณ์ของผู้คน และการทำ Pilot (นำร่อง) อะไรบางอย่างจากจุดเล็กๆ มากกว่า เพื่อที่สุดท้ายหวังว่ามันจะเกิดแรงกระเพื่อมบางอย่างต่อไปได้ เพราะแสนสิริเองมีความเชื่อเรื่องความเท่าเทียมอยู่แล้ว พร้อมกับดึงพันธมิตรเข้ามามีส่วนร่วมด้วย เพราะแค่เราทำคนเดียวมันไม่พอ จะไม่สามารถสร้างแรงกระเพื่อมได้มาก”
“เราพยายาม Blend in กับอะไรที่ตอบโจทย์และครอบคลุมความต้องการของผู้คนให้ได้มากที่สุดครับ นั่นคือแนวทางของเรา แสนสิริจะมีม็อตโต้อยู่เสมอว่า ‘Best in Class’ หมายถึงทุกคนสามารถเข้าถึงโปรดักที่ดีที่สุดของเราได้อย่างเท่าเทียม เพราะเราจะพยายามนำเสนอโปรดักและการบริการที่ดีที่สุดคุณจับต้องได้ ไม่ว่าคุณจะเป็นคนกลุ่มไหน มีความหลากหลายอย่างไร แล้วโปรดักนั้นมันก็ต้องใช่ที่สุดสำหรับคุณด้วย”
หัวใจสำคัญของบ้านที่ยั่งยืนในทุกวันนี้อาจหมายถึง Universal Design หรือแนวคิดการออกแบบที่เป็นมิตรกับทุกคน งานออกแบบที่แก้ปัญหาหรือ Pain Point ต่างๆ รวมถึงการใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ของการใช้ชีวิต เช่นครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ ห้องนอนจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่ชั้นล่างสุดของบ้าน มีพื้นกระเบื้องกันลื่น มีราวจับ มีการออกแบบพื้นที่เรียบสม่ำเสมอกัน ไม่มีขั้น หรือมีส่วนของพื้นลาดเพื่อการเดินได้สะดวกสบายขึ้น หรือแม้แต่การใส่ใจกับพื้นที่สีเขียวสำหรับพักผ่อนในบ้าน
แต่คุณสมัชชามองว่า เราไม่สามารถจะโฟกัสแค่งานออกแบบเหล่านี้อย่างเดียวได้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใด บ้านที่ยั่งยืนยังจำเป็นต้องมี ‘Eco System’ หรือระบบนิเวศน์ที่สอดประสาน และเป็นมิตรต่อกันทั้งหมดด้วย
“ในฐานะผู้ประกอบการที่ให้ความสำคัญและคำนึงถึงรายละเอียดต่างๆ เหล่านี้ มันไม่ใช่การเริ่มต้นที่โปรดัก แต่เริ่มที่ Philosophy (ปรัชญา) ของการทำงาน การหาโซลูชั่นบางอย่างให้กับผู้คน การบริการที่ใส่ใจ นั่นทำให้บ้านไม่ใช่เรื่องของการมีฮาร์ดแวร์เท่านั้น แต่มันคือ Soft Skill ที่ผู้ประกอบการอย่างเราต้องเข้าใจ”
“และนั่นเองที่แสนสิริสร้างทัศนคติให้กับพนักงานเริ่มต้นตั้งแต่ภายในองค์กรของเรา เพื่อให้เขาอยู่ในองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเท่าเทียม แล้วเรานำแนวคิดเรื่องของความหลากหลายมาใช้กันจริงๆ ในองค์กรด้วย ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการที่เข้าถึงได้ หรือการที่เราเป็นกระบอกเสียงในเรื่องต่างๆ ซึ่งผู้บริหารทุกคนก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ พนักงานเขาก็จะมีความสบายใจเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่เปิดกว้างให้เขาแสดงออกและเป็นตัวเองได้อย่างเต็มที่ พอเขาต้องเป็นพนักงานที่ไปอยู่หน้างาน ไปดูแลูกค้า เราก็เชื่อว่าพนักงานทุกคนของเราก็จะแสดงออกด้วยความเข้าอกเข้าใจเรื่องพวกนี้ด้วยเช่นกันครับ”
“นั่นทำให้การที่มีกลุ่มคนหลากหลายเข้ามาอยู่ในโครงการของแสนสิริ เขาจะรู้สึกคอมฟอร์ตว่าอย่างน้อยเขาจะได้รับความเข้าอกเข้าใจ ถ้ามีข้อผิดพลาดตรงไหนก็สามารถร้องเรียนมาได้ เขาจะได้รับการแก้ไขอย่างดีที่สุด และจะไม่ถูกเพิกเฉย หรือถูก Judge อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็มาอยู่ด้วยกันในระบบนิเวศน์ของแสนสิริได้ เราดูแลใส่ใจคนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันหมด”
To Make a Move
ความหมายของครอบครัวที่ยั่งยืน เป็นสารตั้งต้นให้กับแคมเปญ ‘Just Don't Judge’ ที่แสนสิริมองว่าองค์ประกอบสำคัญของความยั่งยืนย่อมต้องมาจากรากฐานของสังคมที่เชื่อในความหลากลาย นั่นทำให้ตลอด 40 ปี แสนสิริได้สนับสนุนความหลากหลายในสังคมผ่านการผลักดันแคมเปญต่างๆ เรื่อยมา ทั้งในด้านสถานะทางสังคม (Status) ด้านเพศสภาพ (Gender) และสุดท้ายคือด้านศักยภาพ (Ability) เพื่อให้คนทุกเพศทุกวัยสามารถมี ‘บ้าน’ ในแบบของตัวเองได้อย่างเท่าเทียม
“มันเหมือนถูกฝังอยู่ในหัวอยู่แล้วว่านี่คือสิ่งที่เราต้องให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ และเราก็ไม่ได้มองแค่เรื่องของความหลากหลายทางเพศเพศเท่านั้น เพราะตั้งแต่ไหนแต่ไร แสนสิริเรามี Academy ฟุตบอล ที่ให้เด็กๆ ทุกคนเข้าถึงการเล่นกีฬา เราผลักดันเรื่องการศึกษาภายใต้แคมเปญ Zero Dropout ให้เด็กไทยได้มีโอกาสเรียนหนังสืออย่างเทียมโดยที่ไม่มีใครหลุดออกจากระบบการศึกษา ไปจนถึงเรื่องของสิทธิแรงงานเด็ก ความเท่าเทียมทางเพศจึงอาจเรียกได้ว่าเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งของความเท่าเทียมในภาคใหญ่ของเราครับ” คุณสมัชชากล่าว
ในฐานะที่คุณสมัชชาคลุกคลีอยู่กับธุรกิจอสังหาฯ มานาน เขามองว่าการสร้างความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญ ที่ลำพังแสนสิริเองไม่สามารถทำคนเดียวได้อย่างแน่นอน แต่ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างพันธมิตร รวมถึงคนในสังคมที่ต้อง ‘เชื่อ’ ไปด้วยกัน
“มันต้องมีใครสักคนลุกขึ้นมาพูด มาจุดกระแสเรื่องนี้ เพราะทั้งหมดคือ ‘Ability’ หรือศักยภาพของคน ไม่ว่าจะเป็นการศึกษา เพศสภาพ เจนเนอเรชั่น ซึ่งถ้าเราเปิดใจ และเปิดพื้นที่ให้เขาได้แสดงศักยภาพของตัวเอง เขาก็อาจจะกลับมาสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคมโลกได้ การ Stereotype การ Judge เป็นอุปสรรคที่ทำให้เกิดความไม่เท่าเทียม และจำกัดอิสรภาพในสังคม ซึ่งผมเชื่อว่าหากเราลบภาพเรื่องการ Stereotype หยุดตัดสิน และหยุดตีกรอบคนที่ไม่เหมือนเราลงไปได้ นั่นจะเป็นโอกาสที่ทำให้ผู้คนได้มีพื้นที่ และมีอิสระในการแสดงศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ครับ”
“การสร้างความยั่งยืน เราทำคนเดียวไม่ได้ ต้องอาศัยพวกคุณด้วยเหมือนกัน ถ้าเราจับมือกันไป มันจะเกิดความยั่งยืนเอง และถ้าคุณเข้าใจเรื่องของความหลากหลาย ปรับตัวเข้ากับมันได้ มันก็จะกลับมาตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืนด้วย”
อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง
- ครอบครัวที่ไม่มีเงื่อนไข และไร้คำนิยาม ในแบบของ ‘ย่าตุ๊ก’ ‘ปู่กัญจน์’ กับ 30 ปี ของความรักเต็มหัวใจที่ไม่ต้องการคำจำกัดความ ภายใต้แคมเปญ ‘Just Don't Judge’ จากแสนสิริ
- เป็น ‘ลูกสาว’ เป็น ‘หญิงรักหญิง’ และเป็น ‘คนใต้’ การต่อสู้ของแซฟฟิกภาคใต้ ที่กอดตัวตนของตัวเองไว้ ในพื้นที่ที่ยังกอดความเป็นอนุรักษ์นิยมไว้แน่นหนา ซึ่งเชื่อว่าลูกสาวทุกบ้านต้องมี ‘ผู้ชาย’ คอยดูแล
- ย้อนดูถ้อยคำของ Virginia Woolf เมื่อปี 1938 ในปี 2025 ที่สงครามอิหร่าน-อิสราเอลปะทุขึ้น และผู้ชนะอาจเป็นสหรัฐอเมริกา
ตามบทความก่อนใครได้ที่
- Website : Mirror Thailand.com