ปากีสถานเผชิญวิกฤติน้ำ 'ไทยเรียนรู้ 3 วิธีแก้ปัญหา' รับมือภัยแล้ง-น้ำท่วม
วิกฤติสภาพภูมิอากาศ ส่งผลกระทบรุนแรงต่อ ปากีสถาน ซึ่งเป็นประเทศที่เปราะบางที่สุดอันดับ 8 ต่อผลกระทบจาก สภาพภูมิอากาศโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่ชนบทอย่างแคว้นบาลูจิสถาน ที่ประชาชนต้องเผชิญกับความแห้งแล้งอย่างหนัก แม้จะมีฝนตกหนักในช่วงฤดูมรสุม แต่น้ำใต้ดินก็ยังคงขาดแคลน ปัญหาน้ำไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต แต่ยังนำไปสู่การอพยพ การสูญเสียพืชพรรณ และการสูญเสียอาชีพ
อย่างไรก็ตาม มีวิธีแก้ปัญหาที่ประหยัดและสามารถนำมาปรับใช้ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นแนวทางที่องค์กรภาคประชาสังคมในปากีสถานอย่าง Balochistan Youth Action Committee (BYAC) ได้นำเสนอ และสามารถเป็นบทเรียนสำคัญให้กับประเทศไทย ซึ่งกำลังเผชิญกับความท้าทายด้านน้ำเช่นกัน
สถานการณ์น้ำในประเทศไทยไม่ต่างจากปากีสถานมากนัก แม้จะมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยสูง แต่ก็มักเกิดปัญหาภัยแล้งในฤดูแล้งและน้ำท่วมฉับพลันในฤดูฝน ข้อมูลจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.)ระบุว่า หลายพื้นที่ในไทยมีความเสี่ยงต่อปัญหาภัยแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือการจัดการน้ำอย่างยั่งยืนจึงเป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วน
3 วิธีการเติมน้ำใต้ดินเพื่อรับมือวิกฤตน้ำ
1. การสร้างบ่อซึม (Percolation Pits)
บ่อซึมคือหลุมขนาดเล็กที่ขุดขึ้นและเติมด้วยก้อนหินหรือกรวด เพื่อให้น้ำฝนซึมลงสู่ใต้ดินได้ง่ายขึ้น หลักการทำงานคล้ายกับฟองน้ำที่ช่วยกรองน้ำและเติมน้ำใต้ดินตามธรรมชาติ ในภูมิภาค Sahel ของแอฟริกา วิธีนี้เรียกว่า "Zai pits" โดยเกษตรกรจะขุดหลุมเล็ก ๆ หลายพันหลุมในพื้นที่เพาะปลูก เพื่อเพิ่มการกักเก็บน้ำและช่วยให้พืชเติบโตได้ดีในสภาพอากาศแห้งแล้ง สำหรับประเทศไทย การนำวิธีนี้มาปรับใช้สามารถช่วยกักเก็บน้ำในพื้นที่เกษตรกรรมและพื้นที่ชุมชนได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีดินทรายซึ่งน้ำไหลผ่านได้เร็ว
2. การเพิ่มประสิทธิภาพการเติมน้ำใต้ดิน (Groundwater Recharge)
กระบวนการเติมน้ำใต้ดินตามธรรมชาติคือการที่น้ำฝนหรือน้ำผิวดินไหลซึมลงไปเติมเต็มแหล่งน้ำบาดาล วิธีนี้ไม่เพียงช่วยเพิ่มระดับน้ำใต้ดิน แต่ยังทำหน้าที่เป็นระบบระบายน้ำเพื่อลดปัญหาน้ำท่วมในเมืองได้ด้วย รัฐบาลปากีสถานได้นำร่องการสร้าง “บ่อน้ำเติมน้ำใต้ดิน” 50 แห่ง ซึ่งสามารถกักเก็บน้ำได้กว่า 10 ล้านแกลลอนภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี แนวทางนี้สามารถนำไปปรับใช้ในเมืองใหญ่ของไทย เช่น กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ ซึ่งมักประสบปัญหาน้ำท่วมขัง โดยหน่วยงานภาครัฐ อาคารที่พักอาศัย หรือสำนักงานต่าง ๆ สามารถติดตั้งบ่อเติมน้ำใต้ดินขนาดเล็กเพื่อช่วยระบายน้ำฝนและเพิ่มน้ำใต้ดินได้
3. การปลูกต้นไม้พื้นเมือง
การปลูกต้นไม้พื้นเมืองช่วยเพิ่มระดับน้ำใต้ดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยรากของต้นไม้จะช่วยทำให้ดินร่วนซุยขึ้นและเพิ่มความสามารถในการดูดซับน้ำฝน ซึ่งจะช่วยลดการไหลบ่าของน้ำบนผิวดิน ในเทือกเขา Aravalli ของอินเดีย การปลูกป่าด้วยต้นไม้พื้นเมืองอย่าง Dhok ได้ช่วยเพิ่มระดับน้ำบาดาลและฟื้นฟูลำธารที่เคยแห้งให้กลับมามีน้ำอีกครั้ง การปลูกต้นไม้พื้นเมืองในประเทศไทย เช่น ตะเคียนทอง หรือยางนา นอกจากจะช่วยเพิ่มน้ำใต้ดินแล้ว ยังช่วยฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพและเสริมสร้างความยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอีกด้วย
การแก้ปัญหาเหล่านี้มีจุดเด่นร่วมกันคือ ต้นทุนต่ำ ดำเนินการโดยชุมชน และสามารถนำไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว รัฐบาลไทย องค์กรพัฒนาเอกชน และภาคเอกชนสามารถนำแนวทางเหล่านี้มาปรับใช้เพื่อรับมือกับภัยแล้งและน้ำท่วมที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอนาคต
ที่มา : Engro , สทนช.